ปัจจุบันเด็กในสังคมมีปัญหามากมาย ขาดความรัก ความอบอุ่น ถูกทอดทิ้ง ว้าเหว่ บ้างมีพ่อที่ไปทางและแม่ไปทาง มีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงทำให้ไม่อยากอยู่บ้าน บางคนอาจจะมีพ่อแม่อยู่ครบ แต่อยู่ในบ้านที่ไม่เป็นบ้านสักเท่าไร จึงไม่เป็นที่น่าอยู่สำหรับลูก ทำให้เด็กไม่อยากอยู่ เลยหนีออกจากบ้านไป ประพฤติตัวเสเพล ทำตามใจตนเอง ใช้ชีวิตเหลวแหลก บ้างก็ประชดชีวิต ประชดพ่อแม่ มีพฤติกรรมอยู่ในมุมมืดที่ผู้ใหญ่คาดไม่ถึง ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังข่าวเกี่ยวกับเด็กๆที่น่าสงสารเหล่านั้น
เราไม่ได้กล่าวเน้นถึงด้านการเลี้ยงดูหรือการดูแลลูกในแง่ของสภาพความเป็นอยู่ทางร่างกาย เช่น จะกินจะนอนอย่างไร เราอาจจะพูดถึงบ้าง แต่เน้นที่คุณภาพชีวิตด้านพฤติกรรม ระเบียบวินัย นิสัยใจคอ คุณธรรมและศีลธรรมมากกว่า ปัจจัยที่จะสร้างเด็กให้ได้ดีนั้น อันดับหนึ่ง ก็คือบ้าน ไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่สิ่งแวดล้อม โรงเรียนและสิ่งแวดล้อมรอบบ้านเป็นอันดับสองและสามตามมา แต่อันดับแรกที่จะช่วยหล่อหลอมมนุษย์ ให้เป็นคนดีหรือคนไม่ดี เป็นคนมีระเบียบหรือเป็นคนไม่มีระเบียบ เป็นคนใจแคบหรือใจกว้าง ก็คือ บ้าน เพราะบ้านหรือครอบครัวเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง อย่าลืมว่าบ้านนั้นเป็นได้ถึงเจ็ดอย่างในชีวิตของเด็ก บ้านในลักษณะที่เป็นครอบครัวเป็นเหมือนศูนย์กลางของชีวิตคน ก็อยากจะขอเสนอดังนี้ว่า บ้านนั้นเป็นได้ถึงเจ็ดอย่างสำหรับลูก นั่นคือ
- บ้านเป็นบ้านสำหรับลูก 5. บ้านเป็นโบสถ์ วิหาร ศาสนา สำหรับลูก
- บ้านเป็นโรงเรียนสำหรับลูก 6. บ้านเป็นโรงพยาบาล สำหรับลูก
- บ้านเป็นสนามกีฬาสำหรับลูก 7. บ้านเป็นโรงงาน สำหรับลูก
- บ้านเป็นที่ทำงานสำหรับลูก
ก่อนอื่นจะกล่าวถึงเรื่อง บ้านที่เป็นบ้าน สำหรับลูก การที่บอกว่าบ้านเป็นบ้านของลูก นั่นหมายความว่า เขามีความรู้สึกเป็นเจ้าของ เป็นที่ที่ๆเขามีอิสระ จะคิด จะพูด บ้านในแง่ของครอบครัว บ้านเป็นความหวังของเขา เมื่อลูกมีความทุกข์ โศกเศร้า ผิดหวังหรือเดือดร้อน เขาจะคิดถึงบ้าน เพราะบ้านมีพ่อแม่พี่น้องที่ให้ความอบอุ่น เมื่อลูกรู้สึกอ้างว้างว้าเหว่ โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีใครสนใจ หรือให้ความสำคัญ แต่บ้านยังให้ความสำคัญ แก่ลูก ถ้าหากบ้านมีลักษณะเป็นเช่นนี้แล้วบ้านก็จะมี ลักษณะที่สามารถสร้างเขาให้เป็นคนดีของครอบครัวและสังคม ทำให้พ่อแม่พี่น้องภูมิใจได้ รวมทั้งยังสามารถทำให้บ้านเป็นในลักษณะอีกหกประการดังกล่าวข้างต้นได้ แต่ประการแรกบ้านต้องเป็นบ้านก่อน เมื่อพ่อแม่จะตีสอนเขา ไม่ว่าจะรุนแรงขนาดไหน ถ้าลูกรู้ว่า พ่อแม่ตีด้วยความรักและด้วยความหวังดี เด็กนั้นก็จะทนและรับได้ แต่ถ้าหากเด็กหรือลูกไม่แน่ใจในความรักของพ่อแม่ จะทำให้เขามีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินและพ่อแม่ไม่ต้องการเขา บ้านในลักษณะของครอบครัวควรจะทำให้ลูกรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของด้วย เขาสามารถที่จะพูดได้เต็มปากว่านี่เป็นบ้านของฉัน บ้านผม บ้านของหนู อย่าทำให้เขารูสึกว่า นั่นเป็นบ้านของพ่อหรือแม่ เขาเป็นเพียงผู้อาศัย เท่านั้นมันอันตรายมากสำหรับความรู้สึก พ่อแม่หลายคนเวลาโกรธก็มักจะพูดกับลูกว่า “ แกอวดเก่งอวดดี ออกจากบ้านฉันไปเลย” คำพูดแบบนี้ทำให้ลูกมีความรู้สึกว่า”เขาไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านด้วยหรืออย่างไร เขาเป็นลูกพ่อเขาก็มีสิทธิ์ในบ้าน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะวิ่งเล่นห้องโน้นห้องนี้ได้โดยไม่มีขอบเขตระเบียบวินัย ทำตามใจตนเองทุกอย่างได้ เด็กควรจะรู้ว่าห้องไหนควรจะเล่น ห้องไหนวิ่งได้ห้องไหนวิ่งไม่ได้ ไม่ว่าบ้านจะกว้างแค่ไหนหรือมี่กี่ห้องก็ตาม ควรจะให้ขารู้สึกว่านี่เป็นบ้านของเราทุกคนในครอบครัว
เมื่อลูกอยู่ในบ้านเขาควรจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจว่าทุกส่วนที่เป็นของพ่อแม่ก็เป็นของเขาด้วย เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ก็จะทำให้ลูกมีสุขภาพจิตดี บางครั้งลูกพาเพื่อนๆมาที่บ้าน พ่อแม่บางคนรู้สึกไม่พอใจ ไม่ยินดีที่จะต้อนรับ ไม่สนใจพูดคุยกับเพื่อนๆของลูก ความจริงไม่จำเป็นต้องขลุกอยู่กับลูกหรือเพื่อนๆของเขาตลอดเวลา ขอเพียงแต่แสดงท่าทีว่ามีความเต็มใจมีความสุขที่เพื่อนๆของลูกมา เช่นบอกกับลูกว่า “นี่เป็นบ้านของลูกนะ ลูกจัดการเต็มที่ได้เลย พ่อแม่ก็จะอยู่กันตามภาษาคนแก่ จะทำอะไรกินก็ตามสบาย จะให้แม่ช่วยก็บอกนะจ้ะ” นี่จะทำให้ลูกมีความรู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ในบ้าน ไม่ใช่คิดว่าเมื่อพาเพื่อนมาบ้านแล้วพ่อแม่จะไม่พอใจ แต่ทั้งนี้ลูกย่อมต้องเข้าใจด้วยว่า การทำอะไรก็ต้องให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ มีขอบเขตพอสมควร เกรงใจให้เกียรติและเคารพพ่อแม่เช่นกัน
พ่อแม่หลายคนมักจะบ่นว่า “ ลูกฉันเหลือขอจริงๆ พูดอะไรก็ไม่ฟัง” ทั้งนี้เพราะพ่อแม่ลืมไปว่าบ้านของเรานั้นไม่มีลักษณะทั้งเจ็ดประการ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คิดว่าที่ๆจะฝึกสอนลูกนั้นคือโรงเรียนเท่านั้นไม่ใช่บ้าน แต่การที่จะให้บ้านเป็นโรงเรียนเพื่อสร้างวินัยให้แก่เขา เราจะต้องให้บ้านเป็นบ้านของสมาชิกทุกคน ที่เขามีสิทธิ์มีส่วนเป็นเจ้าของ และเมื่อเขาผิดหวังกลับบ้าน เขาจะได้มีความหวังและได้รับกำลังใจ จากคนในครอบครัว ไม่ใช่พอลูกเข้าบ้านพ่อแม่ก็ต่อว่าลูกทันที เช่นเมื่อลูกโทรศัพท์มาขออนุญาตเพื่อจะไปงานเลี้ยงแต่ติดต่อพ่อแม่ไม่ได้ พ่อแม่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พอลูกกลับมาก็ด่าว่าเลยโดยที่ยังไม่ได้พูดคุยฟังเหตุผลกันก่อนซึ่งไม่ควรทำเช่นนั้น ควรจะมีการถามไถ่ ค่อยๆพูดค่อยๆจา ตักเตือนและสอนลูก เขาก็จะรับได้ ไม่ใช่พอพบหน้าก็จะด่าว่าเลยทันที อย่างนั้นบ้านก็จะไม่เป็นบ้าน กลับกลายเป็นศาลที่ผู้พิพากษากำลังคอยตัดสินความผิด ลูกเป็นเหมือนนักโทษ ฉะนั้นก็คงไม่แปลกใจเลยที่ลูกจะหนีออกจากบ้านหรือไม่อยากอยู่บ้าน พ่อแม่สอนแล้วสอนเล่าก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ทำบ้านให้เป็นบ้านตั้งแต่ต้น จะสอนลูกให้ได้ผลจะต้องทำบ้านให้เป็นบ้านคือ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อน และพยายามเข้าใจลูกด้วย
พ่อแม่จะต้องให้ลูกๆมีอิสระที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตามสมควร มีขอบเขตพอเหมาะ ไม่เคร่งครัดไปหมดทุกอย่างแต่ก็ไม่หย่อนยานเสียจนขาดระเบียบวินัย ให้เขามีชีวิตและบริเวณส่วนตัวหรือโลกส่วนตัวของเขาบ้าง ให้เขาอยู่ด้วยความรู้สึกสบายๆผ่อนคลายในจิตใจ บางครั้งลูกอาจจะเปิดเพลงฟังดังลั่นห้อง พ่อแม่บางคนก็เอ็ดลั่นบ้านเลย ที่จริงควรจะเดินไปเคาะประตูห้องบอกลูกว่า “เบาๆหน่อยนะลูก พ่อแม่ต้องการความสงบเพื่ออ่านหนังสือ” หรือ “พ่อแม่กำลังปวดหัวลูกเบาๆหน่อยนะ” เรื่องอย่างนี้ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กให้เขาเคารพสิทธิของผู้อื่นและรู้จักเกรงใจคนอื่นบ้าง ให้เขาคิดว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ ที่ไม่เดือดร้อนเพื่อนบ้าน ไม่เดือดร้อนพ่อแม่ และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง แต่สมัยนี้ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงกังวลคือเด็กบางคนติดเกมส์คอมพิวเตอร์หรือในมือถือมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขต่อไป แต่ความจริงต้องมีการเตือน แนะนำและ มีข้อตกลงกับลูกตั้งแต่แรกว่าเขาควรจะเล่นได้แค่ไหนเมื่อไร ถ้ามีกิจกรรมอย่างอื่นเป็นทางออกสำหรับลูกก็จะดีกว่า อย่าทำบ้านให้เป็นศาลหรือเป็นตลาด คือการใช้ลูกทำงานไปด่าไปตลอดเวลา นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งต้องทำบ้านให้เป็นบ้าน มีบรรยากาศของครอบ ครัวที่เต็มไปด้วยความรัก
บางครั้งบ้านก็เป็นเสมือนสนามกีฬาสำหรับลูก พ่อแม่ต้องเล่นกับลูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ลูกยังเล็กอยู่ เมื่อลูกโตขึ้นถ้ามีบริเวณบ้านอาจจะเล่นตีแบดหรือเล่นอย่างอื่นด้วยกัน ถ้าเป็นได้ พ่อแม่ลูกควรจะมีกิจกรรมหรือเล่นกีฬาด้วยกัน
บ้านเป็นเสมือนโรงเรียนสำหรับลูก การทำบ้านให้เป็นโรงเรียน หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าบ้านคือที่ให้ลูก ได้ กิน นอน ถ่าย ขอเงิน แต่ไม่มีหน้าที่สอนลูก โรงเรียนเป็นที่สอนอบรมวิชาความรู้ให้แก่ลูกก็จริง แต่บ้านก็เป็นโรงเรียนที่วิเศษสุดด้วย เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ที่จะต้องอบรมสอนบุตรหลานของตน ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณธรรมและจริยธรรม อย่าปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของครูบาอาจารย์อย่างเดียว เพราะท่านเหล่านั้น คงจะทำได้ไม่ทั่วถึงและเต็มที่เหมือนพ่อแม่จริงๆ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นทางบ้านและทางโรงเรียนคือครูทั้งหลายควรจะร่วมมือกัน บ้านซึ่งหมายถึงครอบครัวจะต้องอบรมสั่งสอน ให้ความรู้ระเบียบวินัยให้ข้อคิดและหน้าที่ความรับผิดชอบแก่ลูก บ่มเพาะนิสัยที่ดีงาม มีจริยธรรมและมีสัมมาคารวะให้แก่เด็กตั้งแต่เยาว์วัย ในพระคริสตธรรมกล่าวไว้ว่า “ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้แต่ลำพังจะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน” และอีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “จงตีสอนบุตรชายของตนเมื่อยังมีความหวัง อย่าจงใจให้เขาถึงพินาศไป”
เด็กจะได้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ เมื่อเข้าโรงเรียนก็จะเป็นที่รักของคุณครู เป็นแบบอย่างแก่คนอื่น อย่าคิดว่าโรงเรียนจะสร้างวินัยให้แก่ลูกเท่านั้น ที่บ้านเองพ่อแม่จะต้องเริ่มก่อน และพ่อแม่จะต้องสอนด้วยชีวิตและแบบอย่างนอกเหนือจากคำพูดของตน