มาระโก 7 : 21 – 23 “เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม….. สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
เอเสเคียล 28 : 17 “และเมื่อคนอธรรมหันกลับจากความอธรรมที่ตนกระทำไป และกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็ได้ช่วยชีวิตของเขาเองไว้”
ทิตัส 2 : 12 “สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม”
พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความชอบธรรม เมื่อพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ได้ทรงประทานพระองค์เอง คือ “ลมปราณแห่งชีวิต” ซึ่งหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยอห์น 20 : 22) เข้ามาสู่ภายในมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ได้ทรงให้คุณความดีของพระองค์เองกลายเป็นชีวิตของมนุษย์ในครั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อแรกสร้างนั้นมนุษย์จึงมีความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมที่สมบูรณ์ เพราะความชอบธรรมนั้นมาจากพระเจ้า
เมื่อมนุษย์กระทำความบาป ความบริสุทธิ์ได้ถูกความไม่บริสุทธิ์เข้ามาแทรกแซง, ความชอบธรรมได้ถูกความไม่ชอบธรรม (อธรรม) เข้ามาแทรกแซงซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งแปลกปลอมที่แตกต่างไปจากธรรมชาติเดิมของมนุษย์ แต่ได้สอดแทรกเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ ธรรมชาติบาปไม่ใช่ธรรมชาติปกติของมนุษย์เมื่อแรกเริ่ม (มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ) แต่เป็นธรรมชาติเทียมที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังแทน
ด้วยเหตุนี้ความอธรรมจึงเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกปลอมไปจากชีวิตของมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ เมื่อความชอบธรรมแปรเปลี่ยนเป็นความอธรรม สิ่งเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นเพื่อทำลายสภาพของชีวิตมนุษย์ผู้ชอบธรรม….. ความอธรรมมิใช่เกิดจากการ “กระทำผิด” ของมนุษย์ แต่ความอธรรมนั้นได้เข้ามาผสมผสานจนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชีวิตมนุษย์เสียแล้ว เพราะความเปลี่ยนแปลงจากความดีเป็นความชั่วร้ายนั้นเกิดขึ้นจากภายใน ออกไปสู่ภายนอกของชีวิตมนุษย์นั่นเอง
“เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ” 2 ทิโมธี 3 : 2 – 5 สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้คือความอธรรมที่พัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นตัวตนที่เลวร้ายของมนุษย์ซึ่งผสมอยู่ภายในชีวิตของทุก ๆ คน มนุษย์พยายามที่จะแสวงหาความดี แสวงหาความชอบธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ “ขัดแย้ง” กับความต้องการของมนุษย์ที่มีความอธรรมที่พัฒนาขึ้นมาจนเต็มที่จนกลายเป็นมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนังแล้ว “คนแก่เงิน” จะรู้สึก “มีความทุกข์” อย่างมาก ถ้าเขาจะต้องสูญเสียเงินไปเพื่อการบริจาคเพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่มีผลใด ๆ ตอบแทน “คนไร้ศีลธรรม” จะรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นสุข ถ้าเขาจะต้องไป “เข้าโบสถ์” เพื่อฟังเทศนา หรือ ไปปฏิบัติธรรมโดยการรับใช้ผู้ิอื่น
ภายในจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นมีการต่อสู้กันอยู่อย่าง “ดุเดือด” ระหว่างชีวิตฝ่ายวิญญาณ (ความชอบธรรม) และชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง (ฝ่ายอธรรม) แม้ว่ามนุษย์จะถูกสร้างมาให้มีคุณลักษณะที่สมบูรณ์พร้อม และเป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ความบาปก็ได้เข้ามาแทรกแซงชีวิตภายในของมนุษย์ให้พังทลาย และเสื่อมลง อีกทั้งความบาปนั้นยังได้พัฒนาขึ้นจนทำให้ชีวิตของมนุษย์กลายเป็น “ความอธรรม” ที่สมบูรณ์แบบ และกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าแห่งจักรวาลนี้ และจำเป็นที่พระเจ้าจะต้องกำจัดความบาป (ที่กลายเป็นตัวของมนุษย์ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า) ด้วยการทำลายอย่างหมดสิ้นในความตายครั้งที่สอง
ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย มนุษย์เปลี่ยนจิตวิญญาณตนเองไม่ได้ ถ้าปราศจากความช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์แล้ว ชีวิตของมนุษย์จะมีแต่พัฒนาไปในทางเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ และในที่สุด ก็จะกลายเป็นความเลวร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ….. ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานหนทางแห่งการช่วยเหลือมิให้ชีวิตมนุษย์ต้องล่มสลายลงอย่างสิ้นหวัง ด้วยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเป็นค่าไถ่บาปของเรา (ยอห์น 3 : 16) และโดยทางพระเยซูนี้พระองค์ได้เปิดหนทางที่จะให้ชีวิตของมนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยอาศัย “ความเชื่อ” เป็นพื้นฐาน
เมื่อท่านเชื่อว่าท่านจะได้รับความรอด (โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์) โดยท่านไม่ต้องกระทำสิ่งใดท่านจะได้รับความรอดนั้น…… เมื่อท่านเชื่อว่าท่านจะกลายเป็นผู้ชอบธรรม (โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์) โดยท่านไม่ต้องกระทำสิ่งใดท่านจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมนั้น….. แต่ถ้า…ท่านเชื่อว่าชีวิตของท่านจะเปลี่ยนแปลงจากชีวิตแห่งความบาปไปสู่ชีวิตแห่งคุณความดี (โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์) โดยท่านไม่ต้องกระทำสิ่งใด “ท่านจะไม่ได้” ในสิ่งนั้น….. จนกว่าท่านจะ “ยอม” ให้พระเจ้า “เปลี่ยนแปลง” จิตใจของท่าน และชีวิตของท่านเสียก่อน แล้วหลัีงจากนั้นท่านจะกลาย “ผู้ที่ถูกสร้างใหม่” โดยพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ (2 โครินธ์ 5 : 17)