1ทธ.2:3-4 การกระทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเราพระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง
1ทธ.3:15 …คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เป็นหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง
มก.1:14-15 …ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าโดยตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐ”
หนังสือ 1 ทิโมธี 3:15 วรรคหลังกล่าวว่า “คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เป็นหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง” กรณีนี้ก็บ่งชี้ว่าถ้าปราศจากความจริงก็ปราศจากคริสตจักร ความจริงจะนำมาซึ่งชีวิต และเมื่อเรามีชีวิตเราก็จะกลายเป็นคริสตจักรทันที ภารกิจเพียงหนึ่งเดียวของคริสตจักรในวันนี้ก็คือการประกาศกิตติคุณ และเนื้อหาของกิตติคุณก็คือความจริง ความจริงได้บ่งบอกถึงประเด็นที่เป็นศูนย์กลางให้กับเรา นั่นก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพผู้เป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานพระองค์เองเข้าสู่ภายในชีวิตของมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อความบาปของเราจะได้รับการอภัย ได้รับชีวิตของพระเจ้า และมีชีวิตองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ภายในเราทำให้เราเปลี่ยนแปลงเป็นบุตรของพระองค์ นี่ก็คือความจริงและก็คือพระกิตติคุณ เราจำต้องเรียนรู้พระกิตติคุณเหล่านี้
เปาโลกล่าวว่าการที่ท่านถูกใช้ออกไปนั้นไม่เพียงเพื่อประกาศกิตติคุณเท่านั้น แต่ยังต้องสอนความจริงให้กับผู้อื่นอีกด้วย (1ทธ.2:7; 2ทธ.1:11). นี่ก็หมายความว่าเพียงแต่ประกาศกิตติคุณเท่านั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน แต่ยังต้องสอนความจริงอีกด้วย. ประเด็นที่สำคัญในพระคัมภีร์ก็คือพระกิตติคุณและความจริงแท้ …เราจำต้องศึกษาพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ จนกระทั่งเราสามารถมองเห็นว่าพระกิตติคุณก็คือความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า และความจริงก็คือองค์พระเจ้านั่นเอง พระกิตติคุณไม่เพียงเป็นข่าวสารอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่คือความรอดแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า และความจริงก็ไม่ใช่เพียงเป็นหลักธรรมเท่านั้น แต่ความจริงก็คือตัวของพระเจ้าเองเลยทีเดียว
เราจำต้องตระหนักว่าสิ่งที่ทั่วโลกต้องการในวันนี้ก็คือพระกิตติคุณและความจริง. พระคัมภีร์ได้บันทึกสำเร็จแล้วตั้งแต่สองพันกว่าปีก่อน และก็ได้มอบไว้ให้กับคริสตจักรแล้วด้วย. แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเนื่องจากการตกต่ำลงของคริสตจักร ความสว่างของพระกิตติคุณจึงได้หายไป และความสว่างของความจริงก็มืดมนไป …จนกระทั่งมาถึงช่วงของการปฏิรูปศาสนา ประเด็นที่สำคัญแห่งการงานของนักปฏิรูปก็คือต้องปลดปล่อยความจริงในพระคัมภีร์ …แม้ว่าความสว่างในตอนนั้นจะมีเพียงน้อยนิด แต่ว่ายิ่งส่องสว่างแรงกล้าขึ้นทุกที จนถึงทุกวันนี้ความสว่างของพระกิตติคุณและความจริงนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเหมือนแสงตะวันในเวลาเที่ยงวัน ซึ่งมีความสว่างไสวและครบสมบูรณ์ยิ่งนัก.
วันนี้คริสเตียนมีมุมมองต่อพระกิตติคุณที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดว่าพระกิตติคุณก็คือเพียงแค่การบอกกับผู้อื่นว่าเขาเป็นคนบาป จะถูกพิพากษาโดยพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์โลกจึงทรงใช้พระเยซูผู้เป็นพระบุตรที่รักของพระองค์มาช่วยคนบาปให้รอด. ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อแบกรับความบาปของมนุษย์โลก. ถ้าหากผู้ใดกลับใจเชื่อพระองค์ ในอนาคตเขาก็จะไม่ต้องพินาศ แต่จะได้รับชีวิตที่นิรันดร์ และในโลกนี้เขาจะมีแต่ความสุข. ซึ่งเราไม่อาจกล่าวว่าพระกิตติคุณเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผิด แต่ก็เป็นพระกิตติคุณที่ยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน
อภัย อีกทั้งได้รับการช่วยไถ่ ได้รับการกระทำให้เป็นผู้ชอบธรรมจากพระเจ้า กลับคืนดีกับพระองค์และได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้าทันที. ขณะเดียวกันจิตวิญญาณของเขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ มีชีวิตและมีอุปนิสัยของพระเจ้า และมีพระองค์อยู่ในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเขา ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเขาทุกวัน และเปลี่ยนแปลงเขาตลอดเวลา เพื่อจะทำให้เขาถอดแบบตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระเจ้า และในที่สุดแล้วเขาจะบรรลุถึงไพบูลย์ในด้านชีวิต และเป็นบุตรของพระเจ้าที่ได้รับสง่าราศีอย่างสิ้นเชิง …ซึ่งเดิมทีเขาเป็นคนบาป แต่ถูกพระเจ้ากระทำให้กลายเป็นบุตรของพระองค์ที่อยู่ในสง่าราศีของพระองค์ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์. เมื่ออวัยวะเหล่านี้ร่วมประสานเข้าด้วยกันก็ก่อรูปกลายเป็นพระกายของพระคริสต์. พระกายนี้ก็คือพยานของพระคริสต์ และเป็นพระประสงค์ของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการสำแดงของพระคริสต์ที่จะปรากฏออกมาบนแผ่นดินโลกอย่างเป็นจริงในฐานะคริสตจักรที่ปรากฏอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ. นี่ก็คือพระกิตติคุณที่ปรากฏในหนังสือโรม.
เราอย่าได้คิดว่าพระกิตติคุณเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนความจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง. ความจริงก็คือพระกิตติคุณ การที่เราพูดความจริงให้ผู้อื่นฟังก็คือการประกาศพระกิตติคุณนั่นเอง