ขณะที่ครอบครัวในสังคมไทย กำลังเปราะบางและมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย เราจะทำอย่างไรเพื่อจะให้ชีวิตครอบครัว ยั่งยืนและมีความสุข แต่สิ่งนี้จะเป็นจริงได้ เมื่อทุกคนในครอบครัวมีความรักและสติปัญญาจากพระเจ้า รวมทั้งมีกำลังใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน ดังนั้น ความรัก สติปัญญาและกำลังใจ จึง เป็นสิ่ง จำเป็น และสำคัญมากในการดำเนินชีวิตครอบครัว
ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาบางคน ได้บอกว่า ชีวิตการแต่งงานแบบซึ่งเราคุ้นเคยกันมานาน กำลังจะหายไป อัตราการหย่าร้างสูงขึ้นทุกปี แม้แต่คู่ที่ทุกคนบอกว่า “สมกัน ยังกับ กิ่งทองใบหยก” ก็ยังไม่ยกเว้น คือ ทั้งทองและหยก หลุดหายไปหมด ไม่เหลือเลยแม้แต่กิ่งหรือใบ
มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 3 ประการ ที่เกิดขึ้นในชีวิตสมรสทุกวันนี้ คือ
- ความเข้าใจกันระหว่างคู่สมรสน้อยลง
- ขาดความตั้งใจที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
- คาดหวังในชีวิตสมรสสูงเกินความเป็นจริง
ประการที่1. การไม่ค่อยเข้าใจกัน มักมีสาเหตุเกิดมาจาก การขาดการสื่อสารที่ดีต่อกัน สามีภรรยาหลายคู่มีจุดบกพร่องในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการครองชีวิตสมรสให้ยืนยาว การมีความเข้าใจกัน ไม่ใช่มีความคิดเห็นพ้องต้องกันทุกเรื่อง แต่หมายถึง ทั้งคู่สามารถพูดคุยปรึกษาหารือกัน ในจุดต่างนั้น สามารถเข้าใจและยอมรับความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นอย่างดี เพราะชีวิตแต่ละคนเติบโตมาจากพื้นเพครอบครัวที่ต่างกัน และมีประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับมาต่างกัน จึงมีความคิดและวิธีปฏิบัติที่แตก ต่างกัน ไม่ได้ปรับตัวเข้าหากัน
เรื่องสำคัญหลายเรื่อง การที่สองคนรักกัน แต่ไม่เข้าใจกัน จะทำให้ทั้งคู่ปวดร้าวใจมาก เหมือนมีหนามยอกอกตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทั้งคู่ยอมเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดของตนเอง มองปัญหาจากแง่มุมของอีกฝ่ายหนึ่ง รับฟังกันและกัน ปรึกษาหารือกัน ก็จะปรับตัวเข้ากันได้ แม้ว่าอาจมีความเห็นที่แตกต่างกันก็ตาม
มีเรื่องเปรียบเทียบว่า ในรัฐอลาสก้าซึ่งอากาศเย็นยะเยือก ขณะที่หิมะตกหนัก เม่นสองตัวมันรู้สึกหนาวจนจับขั้วหัวใจ มันจึงเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้กัน แต่เมื่อมันอยู่ติดกัน หนามแหลมของมันต่างก็ทิ่มแทงอีกฝ่ายหนึ่ง มันจึงขยับตัวออกห่างจากกัน แต่พออยู่ห่างไกลกัน ก็รู้สึกหนาว มันจึงค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาชิดกันอีกครั้ง ในที่สุด เม่นสองตัวนี้ ก็เรียนรู้วิธีในการปรับตัวเข้าหากันได้
ประการที่ 2. ขาดความตั้งใจที่จะอยู่ร่วมกันตลอดไป ทุกวันนี้ ในสังคมไทย กำลังมีค่านิยมที่เปลี่ยนไปจาก แต่ก่อนมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง ชีวิตแต่งงาน หรือการมีครอบครัว เราได้ยินและเห็นได้จากสื่อ และการกระทำของคนในสังคมไทยทั่วไป ในเรื่องค่านิยมที่ผิดๆเกี่ยวกับการแต่งงาน มีการทดลองอยู่ร่วมกันก่อนแต่ง มีการแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สอง หรือมากกว่านั้น ซึ่งคนมากมายถือว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย หรือผิดปกติ หลายคนมีท่าทีว่า ถ้าเข้ากันไม่ได้ ก็เลิกรากันไป ดีกว่าจำใจอยู่ด้วยกัน ไปเริ่มต้นกับคนใหม่อีกก็ได้ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ด้วยกัน และไม่มีความอดทนต่อชีวิตสมรสเลย
ประการที่ 3. มีความคาดหวังในชีวิตสมรสสูงเกินความเป็นจริง
มีชายหญิงหลายคู่เชื่อว่า ความสัมพันธ์แบบรักหวานชื่น ซึ้งใจ จะทำให้ครอบครัวยืนยงคงอยู่ตลอดไป มีผู้หญิงคนหนึ่งโอดครวญว่า ” ฉันต้องการให้ชีวิตสมรส ตอบสนองความปรารถนาทุกอย่าง ฉันอยากได้ความมั่นใจ มีความมั่นคงด้านการเงิน มีความปลอดภัย สามีจะเป็นคนที่มาคอยดูแลฉัน คอยเสริมสร้าง ให้กำลังใจและความอบอุ่นแก่ชีวิตของฉัน รวมทั้งจะไม่โกหกและทรยศต่อชีวิตฉัน แต่ ชีวิตจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย
หลายคู่แสวงหา “คาถาวิเศษ” เพื่อช่วยคุ้มครองชีวิตสมรสให้มีความมั่นคง แต่รู้ไหมว่า คาถาวิเศษนั้นไม่สามารถช่วยปัดเป่าปัญหาหรือนำพาชีวิตสมรสให้บรรลุเป้าหมายตามที่เราคาดหวังได้ แต่ การมีความรักที่จริงใจ มีความเข้าใจต่อกัน และความพยายามของทั้งสองฝ่ายต่างหาก ที่สามารถนำชีวิตสมรสและครอบครัว ไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี มีความสุข และบรรลุเป้าหมายในชีวิตสมรสได้
ดังนั้น ชีวิตสมรสที่สมบูรณ์นั้นควรเริ่มต้นอย่างไร ถ้าหวังให้สังคมช่วยตอบก็คงจะต้องผิดหวังแน่ เพราะครอบครัวในสังคมไทยขณะนี้ ก็กำลังดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ในชีวิตสมรส หรือครอบครัวที่กำลังแตกแยกอยู่เช่นกัน คนในสังคมกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ แต่ ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งยุ่ง พยายามหาทางหลุดพ้น แต่ก็พบแต่ทางตัน มีความผิดหวังและไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร
แต่เราก็ยังไม่หมดหวัง ถึงแม้ว่า ระบบของสังคมในปัจจุบันจะไม่มีตอบให้ และไม่สามารถช่วยให้ชีวิตสมรสมีความสุขได้ เพราะพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ สามารถทำได้ พระองค์เป็นคำตอบของชีวิตครอบครัว เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สถาปนาครอบครัวของมนุษย์ขึ้นมา พระองค์จึงรู้ว่า ชีวิตสมรสที่สมบูรณ์นั้น ควรจะเริ่มต้นอย่างไร และพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมทางแห่งชีวิตของคู่สมรสเอาไว้แล้ว ถ้าคู่สมรสไหนดำเนินตามทางนั้น ย่อมพบสันติสุขและความกลมเกลียวตามที่เราปรารถนาได้
ผู้รู้คนหนึ่งได้เปรียบเทียบว่า แม่น้ำสองสายที่ไหลเอื่อย ๆ สงบเงียบมาตลอด เมื่อมันไหลมาบรรจบกันก็จะเกิดแรงปะทะเป็นคลื่นปั่นป่วนไปทั่ว แต่หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ สงบลง ไหลเอื่อย ๆ เช่นเดิม และก่อเกิดกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ซึ่งมีทั้งความงดงาม และมีพลังมากขึ้น
ชีวิตสมรสก็เช่นกัน สองคนซึ่งเคยมีอิสระเต็มตัว เมื่อมาอยู่ร่วมกัน บุคลิกภาพชีวิตและความต้องการที่แตกต่างกันนั้น ก็เปรียบประดุจ เกลียวคลื่นที่เข้ากระทบกัน จนสายน้ำแตกกระเซ็น ปั่นป่วน แต่อย่าเพิ่งตกใจเพราะ เมื่อแม่น้ำทั้งสองสาย หลังจากบรรจบกันแล้ว ก็จะก่อเกิด สัมพันธภาพอันแนบแน่น และลึกซึ้งยิ่งขึ้นมากกว่าครั้งที่อยู่เดียวดาย
ชีวิตสมรสจะมีความผาสุกและชื่นบานได้ ก็เพราะครอบครัวนั้น มีองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้ทรงประทานสันติสุขและทรงเข้ามาช่วยเสริมกำลังให้แก่ทุกคนในครอบครัว แต่คู่สมรสก็ต้องมีการสื่อสารต่อกันและกันเป็นอย่างดีด้วย เรื่องราวต่อไปเป็นการสื่อสารกับพระคริสต์และซึ่งกันและกัน เป็นกุญแจสำคัญที่สุดในชีวิตสมรส
ชีวิตสมรสแบบคริสเตียนคืออะไร
– ชีวิตสมรสแบบคริสเตียนเป็นอย่างไร
– การเป็นเนื้อเดียวกันหมายความว่าอะไร
– คุณจะประเมินชีวิตสมรสของตัวเองได้โดยวิธีใด และทำอย่างไรถึงจะปรับปรุงชีวิตสมรส
ให้มีความสุขสดชื่นขึ้นมาได้
เมื่อเราได้ยินคำว่า “แต่งงาน” เราคิดถึง ความยินดี ความรัก ความสุข ความปลาบปลื้ม ความทุกข์ระทม ความเกลียดชัง การคับข้องใจ เหนื่อยหน่าย ขยะแขยง ขมขื่นใจ หรือ มีความเข็ดขยาด
คำว่า การแต่งงาน : เป็นคำสัญญาที่มีเงื่อนไขหรือเปล่า
ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิของพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า การแต่งงานเป็นการทำพันธสัญญาระหว่างสองฝ่าย
การแต่งงานไม่ใช่เป็นแค่การพูดคำสัญญาหรือข้อตกลงที่มีต่อกันเท่านั้น แต่เป็นการผูกพันกันอย่างมั่นคงถาวรภายใต้พันธสัญญาที่ทั้งสองมีต่อกัน ซึ่งจะเลิกจากกันหรือหย่าร้างกันไม่ได้เลย ยกเว้นความตายมาพรากจากกัน หรือมีฝ่ายหนึ่งที่ทำผิดศีลล่วงประเวณีหรือมีชู้กับคนอื่น ซึ่งมีเพียงกรณีเดียว ที่พระคัมภีร์อนุญาตให้หย่าร้างได้
ความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตสมรส ตามพันธสัญญา ไม่มีข้อต่อรองอื่นๆที่เปิดโอกาสให้เลิกรากัน นั่นคือสามีต้องรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง ส่วนภรรยาต้องเชื่อฟังสามีทุกประการ และทั้งสองฝ่ายต้องมีใจซื่อตรงตามพันธสัญญาที่ทำระหว่างกัน นั่นหมายความว่า เขาทั้งสองต้องรักษาชีวิตแต่งงานและอยู่กินด้วยกันตลอดไป เพราะการแต่งงานตามพันธสัญญา คือ การผูกพันกันอย่างถาวร ตลอดชีวิตทั้งสองคน ซึ่งได้มอบตัวไว้ให้แก่กันและกัน โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
คำสัญญาทั่วไป มักมีเวลาจำกัด หรือมีระยะเวลาตามที่กำหนด และมักมีข้อยกเว้นให้หลีกเลี่ยงได้ด้วย เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งจะขอยกเลิกสัญญาได้ และจะหลุดพ้นจากข้อผูกมัดนั้นทันที ฉะนั้น คำสัญญาทั่วไป เป็นเพียงเงื่อนไขที่มีทางออกได้ แต่ ชีวิตสมรสตามพันธสัญญาไม่มีข้อยกเว้นแบบนั้น
ไม่ว่า ทั้งสองจะมีความคิดว่า เราไปกันไม่ได้ หรือพบวิกฤติการณ์ที่ดีหรือร้ายอย่างไร ก็ไม่สามารถหย่าร้างกันและไม่สามารถยกเลิกชีวิตแต่งงานได้ ดังนั้น การแต่งงานจึงเป็นสัญญาใจที่ปราศจากเงื่อนไขตลอดชีวิต
การแต่งงาน เป็นการรวมตัวมิใช่แยกตัว
ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสคล้ายกับดินเหนียวสองก้อน ก้อนหนึ่งสีเขียวแก่ อีกก้อนหนึ่งสีเขียวอ่อน ซึ่งเห็นชัดว่าต่างกัน ถ้าเอาดินเหนียวสองก้อนนี้มานวดคละเคล้าจนเข้าเนื้อเป็นก้อนเดียวกัน ดูเผิน ๆ อาจเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด แต่ถ้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเราจะเห็นริ้วรอยสีเขียวแก่บ้างอ่อนบ้างปะปนกันไป ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสก็ดุจกัน เป็นชีวิตของสองคนเข้ามาผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ยังคงเอกลักษณ์ของแต่ละคนไว้ หรือเป็นชีวิตใหม่ที่ปรากฏอยู่ในสองคน
สำหรับการแต่งงานของคริสเตียนแล้ว มีความหมายมากกว่า การประสานความสัมพันธ์ของคนสองคน เพราะมีอีกบุคคลหนึ่งคือพระเยซูคริสต์มาเกี่ยวข้องด้วย พระองค์ทรงให้ความหมาย ทรงนำพาและชี้ทางชีวิตในความสัมพันธ์นั้นให้กับชีวิตแต่งงานหรือครอบครัว จึงเป็นการแต่งงานของคริสเตียนที่สมบูรณ์แบบ
– Wayne Oater กล่าวว่า ” การแต่งงาน เป็นพันธสัญญาแห่งความรัก และความรับผิดชอบ
และเป็นสัมพันธภาพที่กอปรด้วย การกลับใจและให้อภัยกันเสมอ”
– Dwight Small กล่าวว่า ” การแต่งงาน เป็นชีวิตใหม่ ที่อยู่ภายในคนสองคน ”
– Dr. David Hubbard ก็กล่าวว่า ” ชีวิตสมรสเป็นสถาบันของคนบาป ฉะนั้นถ้าใครคิดว่า ตัวเองดีพร้อม
ก็อย่าได้ย่างกรายเข้าไป แต่ชีวิตสมรสจะงดงามและเปี่ยมล้นไปด้วยสง่าราศีอย่างบริบูรณ์ เมื่อคนบาป
ทั้งคู่ได้ตระหนักว่า ครอบครัวเขาเป็นสถาบันที่พระเจ้าจะฝึกฝนเขาให้มีความรัก และความชอบธรรม”
พระคัมภีร์พูดถึงการแต่งงานไว้อย่างไร พระเจ้ามีพระประสงค์ต่อการแต่งงาน อย่างไรบ้าง
อย่างแรก ก็เพื่อสืบพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ พระองค์ตรัสว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน…”(ปฐม. 1:28) สดด. 127:3-5 “บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระเจ้า เหมือนลูกธนูในมือนักรบชายใด ๆ ที่มีลูกธนูเต็มแล่งก็เป็นสุข”
เมื่อมีลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบเลี้ยงดูและฝึกฝนอบรมเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมด้วย พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น” (สภษ. 22.6) แต่การแต่งงานมีความหมายมากกว่า การมีลูกและเลี้ยงดูลูก “พระเจ้าตรัสว่าไม่ควรที่ชายคนนี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น……… แล้วพระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นกลับสนิท ขณะที่เขาหลับสนิทอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมาแล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูกอย่างเดิมส่วนกระดูกซี่โครงที่ชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิงแล้วนำมาให้ชายนั้น ชายจึงว่านี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเราจะต้องเรียกว่าหญิง เพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย“ (ปฐม.2:18,21-25)
เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งผู้ชายและภรรยาของเขา จะเปลือยกายอยู่และไม่อายกัน” พระเจ้าสถาปนาการแต่งงานขึ้น เพื่อความเป็นเพื่อนอันอบอุ่น ความโดดเดี่ยว และการแยกตัวจากกัน เป็นสิ่งตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้าในการเนรมิตสร้าง คนแรกที่พระเจ้าสร้างให้เป็นเพื่อนของชายนั้น ก็คือ ผู้หญิง นั่นเอง
ฝ่ายหญิงจะเป็นคู่อุปถัมภ์ เพราะผู้หญิงถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างและเป็นคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้ชาย ฉะนั้น ผู้หญิงจะช่วยให้ชีวิตของผู้ชายและของเธอครบสมบูรณ์ เธอจะเติมช่องว่างในชีวิตเขาให้เต็มและแบ่งปันชีวิตของเธอให้กับเขา เธอจะช่วยหนุนนำความสามารถในตัวของสามีออกมา และทำให้ชีวิตของเขาขยายก้าวออกไป เป็นชีวิตมนุษย์ที่ครบสมบูรณ์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่ความเป็นเพื่อนอันอบอุ่นแนบแน่นและการสร้างเสริม เติมแต่งชีวิตซึ่งกันและกัน จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีการสื่อสารที่ดีระหว่างกันเท่านั้น การสื่อสารจะสมบูรณ์แบบได้ต่อเมื่อ ทั้งคู่ค่อย ๆ เรียนรู้และฝึกฝนทักษะนี้จากประสบการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นขณะที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในครอบครัว