กท.3:14 เพื่อพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย เพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ
กท.4:4-5 แต่เมื่อครบกำหนดแล้วพระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร
“พระพร” ที่อยู่ในหนังสือกาลาเทีย 3:14 ก็คือพระพร ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮาม (ปฐก.12:3) เพื่อทุกประเทศในโลก. พระสัญญานี้ได้สำเร็จแล้ว และพระพรที่อยู่ในพระคริสต์ ก็ได้มาถึงประเทศต่างๆ โดยการไถ่ของพระองค์บนกางเขนที่ปรากฏในพระกิตติคุณ เราไม่เพียงได้รับพระพรแห่งการอภัยบาป, และการทำให้เป็นผู้ชอบธรรม แต่ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในฐานะที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์, ทรงไถ่บาป, ทรงประทานชีวิต และพระองค์ได้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา เป็นชีวิตที่อยู่ภายในของตัวเรา เป็นความชื่นชมยินดีและความสุขในชีวิตของเรา นี่ช่างเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ที่มนุษย์ผู้เป็นคนบาปสามารถเข้าส่วนในชีวิตขององค์พระผู้ทรงครอบคลุมสรรพสิ่งในฐานะที่ทรงเป็นชีวิตของเราในทุกวัน
พระวิญญาณที่ได้เปิดเผยไว้ในจดหมายของเปาโล ก็คือ พระบิดา, พระบุตร, และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นองค์ตรีเอกานุภาพ ที่ได้ทรงเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต ที่ครอบคลุมสรรพสิ่ง. พระวิญญาณนี้ ได้เข้าสู่ภายในผู้เชื่อ เพื่อมาเป็นชีวิตของเขา และเป็นทุกสิ่งของเขา. พระวิญญาณเช่นนี้แหละคือพระพรทั้งหมดซึ่งครอบคลุมถึงการอภัยบาป, การไถ่, ความรอด, การคืนดี, การโปรดให้ชอบธรรม, ชีวิตนิรันดร์, และการเปลี่ยนสภาพของมนุษย์ที่บังเกิดใหม่และเปลี่ยนแปลงใหม่
พลไพร่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้น ถูกผูกมัดไว้โดยธรรมบัญญัติ และอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของกฎบัญญัติต่าง ๆ (กท.3:23). พระคริสต์ทรงบังเกิดมา ภายใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อไถ่พวกเขาจากการควบคุม ดูแลของกฎบัญญัติอันเข้มงวดเหล่านั้น เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับฐานะแห่งบุตร และกลายเป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้า ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ควรกลับไปเป็นทาส ที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกฎบัญญัติที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อกักขังความเชื่อนั้นอีก เช่นเดียวกับที่ชาวกาลาเทียที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ พวกเขาควรอยู่ในฐานะบุตรของพระเจ้าเพื่อมีชีวิตอยู่โดยพระคุณแห่งพระวิญญาณในพระคริสต์ ตามที่ได้รับการสำแดงให้เห็นในพันธสัญญาใหม่
การมีชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติของพระเจ้านั้น จะต้องมิใช่เป็นการเกิดขึ้นโดยการบีบบังคับ และโดยการกักขัง แต่ต้องเป็นไปด้วยความรักในพระคุณของพระองค์ที่ทรงประทานให้กับมนุษย์ผู้เชื่อทั้งหลาย ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมแห่งแผนการแห่งความรอดทั้งหมดของพระเจ้า. …แผนการแห่งความรอดนั้นก็คือ การนำเอาชีวิตของพระองค์เองเป็นค่าไถ่และเข้ามาสู่ภายในชีวิตพลไพร่ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเพื่อทำให้พวกเขากลายเป็นบุตรของพระองค์ การไถ่ของพระคริสต์ได้นำเราเข้าสู่ฐานะแห่งบุตรของพระเจ้า เพื่อเราจะรับชีวิตนิรันดร์ แผนการแห่งการไถ่ของพระเจ้านั้นไม่ได้ต้องการเพียงให้เราเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการถือรักษากฎบัญญัติเพียงเพื่อนอบน้อมต่อพระบัญญัติและกฎเกณฑ์แห่งกฎบัญญัติ แต่เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่สะท้อนพระสิริแห่งความรักความเมตตาของพระองค์ที่จะมีต่อคนอื่นๆ อีกด้วย
แผนการแห่งความรอดของพระองค์ก็คือ การทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้า และมีชีวิตที่ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับบัญญัติแห่งความรักของพระองค์ (บัญญัติ 10 ประการ) ด้วยชีวิตที่ปลี่ยนแปลงใหม่, ด้วยจิตใจที่ได้รับการสร้างใหม่, ด้วยการบังเกิดใหม่, โดยชีวิตของพระคริสต์เท่านั้น เราควรคงอยู่ในฐานะแห่งบุตร เพื่อเราจะกลายเป็น ทายาทของพระองค์ และรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงวางโครงการไว้เป็นมรดก เพื่อการสำแดงของพระองค์ ดังนั้นเราจึงไม่ควรเบี่ยงเบนไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อกฎบัญญัติว่าจะสามารถช่วยให้ชีวิตมีความบริสุทธิ์ และพ้นจากการอธรรมทั้งปวงได้….. แต่ตรงกันข้ามด้วยชีวิตแห่งความรอดที่เปลี่ยนแปลงใหม่ โดยพระโลหิตแห่งพระบุตรของพระเจ้าจะทรงช่วยให้ผู้เป็นบุตรของพระองค์สามารถประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเสียอีก (รม. 3 : 31)