ทิตัส 2 : 13 – 14 “คอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวัง ได้แก่การปรากฏของพระสิริของพระเจ้าใหญ่ยิ่งคือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี”
ลูกา 21 : 34 – 36 “แต่จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการดื่มเหล้าองุ่นมาก และด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านดุจบ่วงแร้วอย่างกะทันหัน เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นจงเฝ้าอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลายจะมีกำลังที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้”
.
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูมากกว่า 2,500 ครั้ง การรอคอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวังนั้น เป็นความปรารถนาสูงสุดที่มนุษย์ที่อยู่ในโลกแห่งความผิดบาปต้องการจะได้เห็น ความบาปทำให้มนุษย์ในโลกนี้ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ทำให้คุณความดีที่เคยมีอยู่ในชีวิตของมนุษย์ต้องเสื่อมทรามลง โลกที่สวยสดงดงามต้องเศร้าหมองและกลายเป็นพิษ ไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่อีกต่อไป
ความหวังเดียวของโลกนี้ก็คือต้องการได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เปลี่ยนแปลงไปในความบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าเหมือนดังที่พระองค์ทรงสร้างในครั้งแรก พระเยซูทรงตรัสว่า “เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา” (ยน. 14 : 3) คำว่า “ท่าน” ในที่นี้หมายถึงมนุษย์ทุก ๆ คนผู้เชื่อในพระองค์ และยอมรับการวายพระชนม์ของพระองค์ว่าเป็นการทรงไถ่ความอธรรมของโลกนี้ แต่ในขณะเดียวกันพระเยซูคริสต์ทรงมีพระประสงค์จะทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และเป็นคนที่ขวนขวายในการกระทำดี (ทิตัส 2 : 14) แต่ในสถานภาพแห่งความบาปมนุษย์จึงไม่สามารถกระทำความดีได้ด้วยลำพังกำลังของตัวเอง แต่ต้องอาศัยการเปลี่ยนชีวิตโดยพระเจ้าเท่านั้น
ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์คือผู้ที่ได้รับการสร้างใหม่ (2 คร. 5 : 17) การสร้างใหม่คือการละทิ้งของเดิมเพื่อนำเอาสิ่งใหม่ไปทดแทน ชีวิตเดิมของมนุษย์ก็คือผู้ที่ล้มลงในความบาปและประกอบการอธรรม (มก. 7 : 21 – 23) ซึ่งการอธรรมนี้ได้ฝังอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุก ๆ คนโดยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ผู้เชื่อได้รับการชำระจากการอธรรมฝ่ายโลกและได้รับการ เปลี่ยนแปลงโดยพระโลหิตแห่งพระองค์ เหมือนกับฟองน้ำที่แห้งผากแต่ได้รับการเติมด้วยน้ำเข้าไปจนเต็ม ทำให้คุณสมบัติของฟองน้ำนั้นเปลี่ยนสภาพไป การซึมซับน้ำนั้นเป็นคุณสมบัติของฟองน้ำซึ่งอาจจะแตกต่างกันตามคุณภาพของฟองน้ำที่มี แต่ฟองน้ำทุกชนิดสามารถซึมซับน้ำได้โดยการนำเข้าไปวางในถังที่ีมีน้ำแล้วน้ำจากถังก็จะซึมเข้าไปในฟองน้ำนั้น
ชีวิตที่ได้รับการสร้างใหม่ในพระเจ้านี้ก็คือชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม สภาพอันแห้งผากของฟองน้ำเปรียบเสมือนชีวิตที่แห้งแล้งและขาดจากคุณค่าแห่งความดีของพระเจ้า คุณสมบัติอันแห้งแล้งนี้เป็นคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับคุณสมบัติของฟองน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มภายใน น้ำที่เติมเข้าไปจนเต็มล้นในฟองน้ำนี้คือคุณสมบัติของพระเจ้าที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เชื่อทุก ๆ คน และน้ำนั้นก็คือพระคำของพระเจ้าที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์จากพฤติกรรมของความเคยชินแห่งบาป ให้กลายเป็นพฤติกรรมแห่งความดีและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแทน “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน” (กท. 5 : 22 – 23) เหล่านี้คือคุณความดีของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้กับชีวิตของผู้เชื่อ ที่แต่เดิมชีวิตของมนุษย์ผู้ตกลงในบาปได้มีชีวิตแห่งความเสื่อมจากสิ่งเหล่านี้
พระเยซูตรัสว่า “จงระวังตัวให้ดี..เวลานั้นจะมาถึงท่าน..อย่างกระทันหัน” (ลก. 21 : 34) คำว่า “เวลานั้นจะมาถึงท่าน” มีความหมาย 2 นัยยะ ก็คือ
นัยยะที่1. “เวลาแห่งพระเยซูคริสต์ที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏบนฟ้าสวรรค์” โดยรับเอาผู้เชื่อและผู้ที่ได้รับความรอดขึ้นไปสู่สวรรค์ ซึ่งเวลานั้นก็หมายถึงวาระสุดสิ้นของประวัติศาสตร์ของโลกนี้ ความบาปและความทุกข์ยากลำบากได้ดำเนินมาจนถึงจุดสุดท้ายคนบาปก็จะถูกทำลาย, โลกนี้จะร้างเปล่าปราศจากผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, โลกกลายเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร, ซาตานและพรรคพวกของมันถูกกักขังให้อยู่ในโลกนี้โดยไม่อาจจะล่อลวงใครได้อีก….. ในนัยยะนี้ผู้ที่ได้รับความรอดก็ขึ้นสู่สวรรค์ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับความรอดก็ถูกทำลายอยู่ในโลก
นัยยะที่2. “เวลาที่มนุษย์จะสิ้นสุดชีวิตของตนบนโลกนี้” ไม่มีใครทราบได้ว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกนานเพียงใด ความตายเป็นความยุติธรรมอย่างหนึ่งของโลกที่มนุษย์ทุกคนต้องตายและเป็นการตายโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก, คนชรา, ผู้หญิง, ผู้ชาย, มนุษย์หรือสัตว์ ฯลฯ ความตายล้วนเข้ามาถึงทุก ๆ ชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีใครหลีกหนีพ้น เมื่อมนุษย์สิ้นสุดชีวิตและภารกิจในโลกนี้ความตายก็คือการสิ้นสุดโอกาสที่จะเลือกว่า เขาจะเลือกที่จะรับความรอดที่เป็นของประทานจากพระเจ้าหรือไม่ ดังนั้นการเลือกที่จะรับเอาพระคุณของพระเจ้าและดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตามพระคุณนั้นจึงมีระยะเวลาอยู่เพียงแค่ “เวลาแห่งชีวิตมนุษย์ในโลกนี้” เท่านั้น
เวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาบนโลกนี้จะมาถึงอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันเวลาแห่งชีวิตมนุษย์ที่จะสิ้นสุดลงในโลกนี้ก็จะมาถึงอย่างแน่นอนเช่นกัน เวลาทั้งสองนี้ก็คือ “เวลาที่จะมาถึง” และความรอดของพระเจ้าจะปรากฏเป็นจริงในตัวของท่าน การดำรงรักษาความเชื่อและระมัดระวังในการดำเนินชีวิตจึงเป็นสิ่งที่จะต้องเลือกให้เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน