วิวรณ์ 14 : 7 “ท่านประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “จงยำเกรงพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์….. …..และจงนมัสการพระองค์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย”
เยเรมีย์ 10 : 12 – 13 “ผู้ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ ผู้ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วย สติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วย ความเข้าใจของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์”
ปฐก. 1 : 31, 2 : 1 “พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก ฟ้าและแผ่นดิน และบริวารทั้งสิ้น ที่มีอยู่ในนั้น พระเจ้าทรงสร้างสำเร็จดังนี้แหละ”
ทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งได้บินไปบนท้องฟ้าและประกาศด้วยเสียงอันดังนั้นหมายถึงข่าวสารของพระเจ้าที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่โลกนี้นั้นจะเป็นข่าวสารที่ทุก ๆ คนจะต้องได้ยินและได้รับรู้ เพราะเป็นข่าวสารที่สำคัญมาก การประกาศด้วยเสียงอันดังหมายถึงการที่ทำให้ทุก ๆ คนในโลกนี้ให้ความสนใจแก่ข่าวสารนี้ “จงร้องดังๆ อย่าออมไว้ จงเปล่งเสียงของเจ้าเหมือนเป่าเขาสัตว์ จงแจ้งแก่ชนชาติของเราให้ทราบถึงเรื่องการทรยศของเขา แก่เชื้อสายของยาโคบเรื่องบาปของเขา” อิสยาห์ 58 : 1 ในขณะที่มนุษย์ยังคงไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายเพียงใด พระเจ้าได้ทรงประทานข่าวสารอันสำคัญนี้มาให้กับเราเพื่อจะได้รับรู้ว่า จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้พ้นจากภัยพิบัติและการพิพากษาที่จะมาถึงนั้น
.
“จงยำเกรงพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์” การยำเกรงคือการให้ความเคารพ การปฏิบัติเชื่อฟังต่อผู้ที่เราเคารพนั้น การยำเกรงไม่ใช่การเกรงกลัว แต่การยำเกรงนั้นคือการกระทำด้วยความรักเป็นการตอบสนองต่อคำสอน หรือคำสั่งด้วยความรักผูกพัน “แต่พระองค์มีการอภัย เพื่อเขาจะยำเกรงพระองค์” สดุดี 130 : 4 ยำเกรงทำให้มนุษย์มีความรู้สึกนอบน้อมต่อพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักเรา และกระทำทุกสิ่งเพื่อเรามิใช่เพราะมนุษย์เป็นผู้ที่มีคุณความดี แต่เพราะเจ้าทรงมีพระประสงค์จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาปผิด และนำเขากลับมาสู่สภาพอันควรเหมือนเดิมดังที่ได้ทรงประทานให้ตั้งแต่แรกเริ่ม
การถวายเกียรติแด่พระเจ้า คือการยกย่องพระเจ้าด้วยความรู้สึกสรรเสริญด้วยจิตใจที่สำนึกในพระคุณที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา และดำเนินชีวิตตามพระดำรัสสั่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้กับมนุษย์เพื่อที่มนุษย์จะได้หันกลับคืนดีกับพระองค์อีกครั้ง ชีวิตนี้พระเจ้าทรงมอบให้กับเราในฐานะผู้ดำเนินชีวิต ในฐานะผู้ดูแล และอารักขา ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงมีพระประสงค์จะให้เราได้ใช้ชีวิตของเราอย่างมีคุณค่าด้วยการทำตามที่พระองค์แนะนำและได้ประทานพระบัญญัติในการดำเนินชีวิตเอาไว้ให้ การถวายเกียรติก็คือการกระทำตามพระบัญญัติอันครบถ้วนของพระองค์เพื่อให้เกิดผลดีในชีวิตนั่นเอง “ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์เต็มปาก และถวายเกียรติแด่พระองค์วันยังค่ำ” สดุดี 71 : 8 “จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สินของตน และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลทั้งสิ้นของเจ้า” สุภาษิต 3 : 9
พระเจ้ามีพระประสงค์จะให้มนุษย์นั้นนมัสการพระองค์ “จงนมัสการพระองค์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” เพราะการนมัสการพระองค์ก็คือการระลึกพระองค์ และดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระองค์นั่นเอง การนมัสการเป็นการรวมศูนย์ทางจิตใจเพื่อต่อเชื่อมกับความรักอันประเสริฐของพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงแจกแจง อธิบาย และบอกกล่าวให้เราได้ใช้โอกาสที่พระองค์มอบให้นั้นเพื่ออยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ มนุษย์ทำลายชีวิตของตนเองด้วยการตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าผลร้ายที่จะตามมานั้นคือสิ่งใด เปรียบดังคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหายที่ไม่เคยทราบว่า ความทุกข์ยากลำบากที่อยู่ภายนอกรั้วบ้านอันอบอุ่นของบิดานั้นคือสิ่งใด ดังนั้นด้วยความรักห่วงใยพระเจ้าจึงทรงตักเตือน บอกกล่าว และแนะนำเราให้รู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงรักและห่วงใยเราเสมอ และต้องการจะช่วยเราให้พ้นจากความเลวร้ายของโลกแห่งความบาปนี้
พระเจ้าทรงกำหนด และประทานวันเวลาที่จะเป็นเวลาสำหรับให้มนุษย์ได้เข้าใกล้พระองค์ได้ 1 วันใน 1 สัปดาห์คือ วันสะบาโต ซึ่งทุก ๆ วันสะบาโต เราทุกคนมีนัดหมาย “พิเศษ” กับพระเจ้าเพื่อการนมัสการพระองค์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ “จงทำการงานในหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแห่งการหยุดพักสงบ เป็นวันประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำการงานใดๆ เป็นสะบาโตแด่พระเจ้า ตามที่อยู่ทั่วไปของเจ้า” เลวีนิติ 23 : 3 การนมัสการในวันสะบาโต ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการมาพบปะกับพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นการยอมรับสิทธิอำนาจของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวไม่มีองค์อื่นอีก เพราะศัตรูของพระองค์พยายามที่จะแย่งการนมัสการของมนุษย์นั้นมาจากพระเจ้า “และคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น เว้นแต่คนทั้งปวงที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ ซึ่งบันทึกไว้ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก” วิวรณ์ 13 : 8
สำหรับผู้ที่เป็นพลไพร่ของพระเจ้า วันสะบาโตและการนมัสการในวันสะบาโต เป็นเครื่องหมายเล็งถึงการเป็นพลไพร่ของพระเจ้า เป็นหมายสำคัญว่าผู้ที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริงในวันนี้จะเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระองค์ มิใช่ศัตรู “จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้า ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า ผู้ได้กระทำเจ้าให้บริสุทธิ์” อพยพ 31 : 13