มาระโก 7 : 20 – 23 พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี (…..) สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
มัทธิว 5 : 28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
วิวรณ์ 14 : 8 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเป็นองค์ที่สองตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้ว ล่มจมแล้ว นครนั้นที่ทำให้ประชาชาติทั้งปวง ดื่มเหล้าองุ่นแห่งความกำหนัดของเธอ ในการล่วงประเวณี”
เมื่อมนุษย์คู่แรกได้หลงกระทำความบาป ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความเป็นมลทินในชีวิตที่บริสุทธิ์ที่พระเจ้าได้ทรงประทานเอาไว้ ความบาปนั้นได้ทำลายความดีงามให้เสียไป และได้เปลี่ยนความดีงามให้กลายเป็นสิ่งเลวร้าย เค้าความคิดของมนุษย์ที่เคยมีความบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ความรักในพระเจ้ากลายเป็นความหวาดกลัวและความเกลียดชัง สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นและพัฒนาอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์เรานี่เองจากจิตใจที่ดีงามและงดงามจึงกลายเป็นสิ่งที่เป็นมลทินและเต็มไปด้วยความบาปในที่สุด
การล่วงประเวณีนั้นก็คือการยอมตัวไปมีความสัมพันธ์อันไม่ถูกต้องกับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างถูกต้อง สามีและภรรยาที่แต่งงานกันย่อมได้รับความผูกพันอย่างถูกต้องเขาทั้งสองได้กลายเป็นเนื้ออันเดียวกันและมีความผูกพันกัน (ปฐก. 2 : 24) พระเจ้าได้ทรงใช้ครอบครัวเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบของความผูกพันกัน ระหว่างพระคริสต์กับ กับคริสตจักร (พลไพร่ของพระองค์) อฟ. 5 : 31 – 32 พระเจ้าทรงเลือกสรรมนุษย์เอาไว้ตั้่งแต่แรกสร้างโลกเพื่อให้รับมรดกอันประเสริฐของพระองค์ มนุษย์ผู้บริสุทธิ์จึงเป็นเหมือนดังเจ้าสาวของพระองค์ การเลือกสรรนี้ก็เพื่อที่พระองค์จะได้รับเกียรติจากการทรงสร้างนั้น พระเจ้าทรงรักมนุษย์และมีพระประสงค์ที่จะผูกพันมนุษย์ไว้กับพระองค์ดุจดังสามีผูกพันกับภรรยา
นับตั้งแต่มนุษย์ได้ถูกล่อลวงให้กระทำบาป เมื่อมนุษย์ได้ยอมรับและเชื่อฟังในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นก็คือ “การล่วงประเวณีทางจิตวิญญาณ” และสิ่งนี้ทำให้มนุษย์นั้นเป็นมลทิน พระเยซูได้ทรงอธิบายความหมายของการล่วงประเวณีว่ามิใช่แค่เพียงพฤติกรรมทางกายเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงความรู้สึกนึกคิดที่ซ่อนอยู่ภายในที่เบี่ยงเบนไปจากสภาพการณ์อันถูกต้องด้วย การมองหญิงอื่นด้วยใจกำหนัดคือเบี่ยงเบนเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องตามแนวทางของพระเจ้า ไปสู่การเลือกเข้าสู่การทดลองที่ทำให้ชีวิตเคลื่อนที่ออกจากเส้นทางของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้หวงแหนจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ของมนุษย์เพราะสิ่งนั้นคือพระวิญญาณของพระเจ้าเองที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์เอาไว้ เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกแห่งความรักอันสูงยิ่งเท่าที่โลกนี้จะรับได้คือ มนุษย์ได้รับความรู้สึกรักห่วงใยแบบพระเจ้าและมีจิตวิญญาณที่มุ่งตรงไปสู่พระองค์กลายเป็นเหมือนกับพระองค์ ซึ่งผลที่สุดมรดกที่จะได้รับก็คือแผ่นดินของสวรรค์ของพระเจ้าที่พระองค์ประสงค์จะให้มนุษย์ได้ไปอยู่กับพระองค์เป็นนิรันดร์
การล่วงประเวณีเป็นภาพลักษณ์ที่แสดงถึงการล่วงละเมิดต่อความสัมพันธ์อันซื่อตรงที่มีของความรักระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ โดยอาศัยรูปแบบของครอบครัวมาเป็นแบบอย่าง เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงล่วงละเมิดต่อคู่ชีวิตของตน ก็เท่ากับเขากำลังเหินห่างจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าด้วย ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้านั้นก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระองค์…ทรัพย์สินเงินทอง, ชื่อเสียงเกียรติยศ, อำนาจ, การละเมิดพระบัญญัติ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือการล่วงละเมิดต่อความซื่อตรงต่อพระเจ้านั่นเอง
พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณของพระองค์เข้าสู่ภายในจิตใจของมนุษย์ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงวางแผนแบบ ในการดำเนินชีวิตไว้ให้อย่างพร้อมมูล ในสวนเอเดนเมื่อมนุษย์ยังปราศจากบาปพระเจ้าได้ทรงบอกให้มนุษย์เชื่อฟังพระองค์ด้วยการ “อย่ากินผลไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว” ความเชื่อฟังนั้นคือความซื่อตรงที่มนุษย์จะมีต่อพระองค์เป็นความสัตย์ซื่อในฐานะเจ้าสาวที่จะมีต่อเจ้าบ่าวไม่เบี่ยงเบนไป แต่ทันทีที่มนุษย์เชื่อฟังซาตานความเชื่อฟังก็กลายเป็นการล่วงละเมิด, ความซื่อตรงก็กลายเป็นความเบี่ยงเบน, ความสัตย์ซื่อก็กลายเป็นความทรยศคดโกง มนุษย์ในฐานะเจ้าสาวจึงได้กลายเป็นผู้ที่ “ล่วงประเวณี” ต่อเจ้าแห่งความบาปไปแล้วอย่างสิ้นสมบูรณ์
ในวาระสุดปลายนี้ความหมายของคำว่า “การล่วงประเวณี” มิได้ครอบคลุมแค่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงจิตวิญญาณที่ล่วงละเมิดต่อความซื่อตรงที่มีต่อพระเจ้าด้วย พระโลหิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้จิตที่ใจที่ผิดบาปและเป็นมลทินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระองค์จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ การบังเกิดใหม่เท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์ผู้เป็นคนบาปหลุดพ้นจากการ “ล่วงประเวณี” และสามารถออกมาพ้นจาก “บาบิโลนฝ่ายวิญญาณ” ไปได้