เรื่อง “ วงจรชีวิตครอบครัว” ของคนเรา ทั้งนี้ ได้มีนักวิจัยครอบครัวซึ่งแบ่งครอบครัวออกเป็นระยะต่างๆ ความจริงก็มีการแบ่งหลายแบบด้วยกัน แต่ละแบบมีสาระคล้ายคลึงกัน เพียงแต่แตกต่างกันในรายละเอียดบางอย่างเท่านั้น ในที่นี้เราจะมาพูดถึงวงจรชีวิตตามการแบ่งของ Carter และ Mc Goldrick
ซึ่งแบ่งไว้ 6 ระยะ
ในระยะแรก วงจรชีวิตครอบครัวเราเริ่มต้นเมื่อ สมาชิกคนหนึ่งแยกออกมาจากครอบครัวเดิม เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต้นครอบครัวใหม่ของตนเอง ในระยะนี้ความสัมพันธ์กับครอบครัวจะเปลี่ยนไป เริ่มออกห่างกันเพื่อที่เขาจะไปใช้ชีวิตตามลำพัง พึ่งตนเองและมีอิสรภาพที่จะดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายที่ตนเลือก บางคนอาจจะแยกตัวออกไปเช่าบ้านหรือคอนโดอยู่เองหรือรวมกับเพื่อน ในปัจจุบันการศึกษาเล่าเรียนค่อนข้างใช้เวลานาน จนทำให้ลูกต้องพึ่งพิงครอบครัวนานเกินไป นอกจากนี้การเลี้ยงดูลูกที่เป็นแบบปกป้องและตามใจมากเกินไป ไม่ได้สอนให้ลูกหัดคิดและทำด้วยตนเอง คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันจึงไม่สามารถแยกไปจากครอบครัวได้เมื่อถึงวัยอันสมควร ส่วนบางครอบครัวก็เป็นไปในลักษณะตรงกันข้าม คือ พยายามผลักดันให้ลูกเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไป โดยที่ลูกยังไม่พร้อม เช่น ให้ลูกที่อายุยังน้อย ออกไปหางานทำเพื่อช่วยจุนเจือครอบครัว หรือให้แต่งงานออกไป เพื่อจะไม่ต้องเป็นภาระกับครอบครัว การที่ลูกออกจากบ้านเร็วเกินไป โดยไม่พร้อม จะทำให้ลูกรู้สึกเหมือนกับถูกปฏิเสธ อาจมีความรู้สึกโกรธและขมขื่นใจ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกมีปัญหาได้
สิ่งที่ควรทำในระยะนี้คือ ให้ครอบครัวมีความสัมพันธ์กับลูกอย่างเหมาะสม แบบผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ ส่งเสริม
ให้ลูกมีความเป็นตัวของตัวเอง รับผิดชอบตนเองได้อย่างเต็มที่ และ พร้อมที่จะรับผิดชอบครอบครัวใหม่ ของตนเองในอนาคต ช่วยให้ลูกแยกออกจากครอบครัวได้โดยไม่เกิดการตัดขาดทางอารมณ์ ช่วยให้ลูกมีความผูกพันที่เหมาะสมกับครอบครัวเดิม เพื่อที่จะสามารถสร้างความผูกพันที่เหมาะสมกับครอบครัวใหม่ได้ต่อไป การจากครอบครัวเดิมไปด้วยความสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้ลูกนำประสบการณ์ที่ดี เกี่ยวกับครอบครัวเดิมรวมทั้งค่านิยมและแบบอย่างของพ่อแม่ ไปใช้ในครอบครัวใหม่ของตนในอนาคต นับเป็นการถ่ายทอดคุณค่าแห่งชีวิตจากคนรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกและรุ่นหลานต่อไปได้เป็นอย่างดี
ระยะที่ 2. : เป็นระยะแต่งงานและสร้างครอบครัวใหม่ เมื่ออยู่ในช่วงแต่งงานใหม่ๆยังไม่มีลูก เป็นเวลาที่คู่สมรสจะเรียนรู้จักกันและปรับตัวเข้าหากันได้ดีที่สุด เพราะ ยังไม่มีภาระและความเครียดจากการที่ต้องเลี้ยงดูลูก
แม้ว่าในปัจจุบันคู่สมรสมีแนวโน้ม ที่จะแยกออกไปตั้งครอบครัวใหม่มากขึ้นก็ตาม แต่คู่สมรสส่วนใหญ่ยังอยู่กับพ่อแม่ในระยะแรก โดยเฉพาะผู้ที่มีความจำกัดทางด้านเศรษฐกิจ
การอยู่ร่วมกันกับครอบครัวเดิม เป็นครอบครัวใหญ่อาจจะทำให้การใช้ชีวิตในฐานะคู่สมรสมีปัญหาได้ ถ้าไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างคู่สมรส กับเครือญาติของแต่ละฝ่าย เครือญาติก็อาจจะเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตคู่มากเกินไป บางครั้งคู่สมรสไม่กล้ากำหนดขอบเขตที่ต้องการ ทั้งนี้เพราะเกรงใจหรือยังต้องพึ่งอาศัยครอบครัวเดิมอยู่ หรือไม่ก็เนื่องจากยังมีความผูกพันกับครอบครัวเดิมและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม เช่น ผู้ชายที่มีความผูกพันกับพ่อแม่มาก เมื่อแต่งงานแล้วก็ยังไปขลุกอยู่กับพ่อแม่จนไม่มีเวลาให้กับภรรยาของตนเอง
คู่สมรสบางคู่อาจจะเข้ามาอยู่ในครัวเรือนของพ่อแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายชายก็อาจรู้สึกว่า ตนถูกตัดขาดจากลูกชาย โดยเฉพาะแม่จะมีความรู้สึกสูญเสียเกิดขึ้น ส่วนลูกชายเองก็อาจจะมีความผูกพันกับครอบครัวเดิมน้อยลง จนดูเหมือนว่า ครอบครัวใหม่มาแทนที่ครอบครัวเดิม ปัญหาแม่ผัวและลูกสะใภ้ หรือพ่อตากับลูกเขย อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าคู่สมรสไม่จัดการกับความสัมพันธ์ที่มีกับพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายให้เหมาะสม ผลที่ตามมาคือ ครอบครัวใหม่ขาดการประคับประคองที่ควรได้รับจากเครือญาติ ซึ่งจะมีผลเสียต่อคนรุ่นหลานต่อไป
เพราะฉะนั้น การแยกครัวเรือนออกไปอยู่อย่างอิสระเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ตราบเท่าที่ครอบครัวใหม่ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวเดิม ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เพราะเหตุฉะนั้น ผู้ชายจึงละจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” “ผูกพัน” ในที่นี้หมายถึง ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยั่งยืนและถาวรตลอดไป ส่วนการ “จาก” ไม่ได้หมายความว่า ละทิ้ง, ตัดขาด ไม่สัมพันธ์กับบิดามารดา หรือไม่เคารพนับถือท่านอีกต่อไป แต่หมายถึงว่า สามีจะไปเป็นผู้นำครอบครัวใหม่ของตนเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของบิดามารดาอีกต่อไป คู่สมรสหลายคู่มีปัญหาคือตัดขาดทางอารมณ์ จากครอบครัวเดิมคือพ่อแม่ โดยเขาได้แยกออกไปเลย ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือไม่ติดต่อกับพ่อแม่อีกต่อไป การตัดขาดเช่นนี้เป็นการตัดความสัมพันธ์ที่มักจะส่งผลเสียต่อคนหลายฝ่าย เช่น ครอบครัวใหม่จะขาดการช่วยเหลือจากครอบครัวเดิมในยามที่จำเป็น และครอบครัวเดิมที่พ่อแม่กำลังย่างเข้าสู่วัยชราหรือสูงอายุแล้ว ก็จะขาดการดูแลเอาใจใส่ตามสมควรจากลูกๆ อีกทั้งคนรุ่นหลัง ที่เกิดมาก็จะขาดความสัมพันธ์กับปู่ย่าตายาย ทั้งๆที่ความสัมพันธ์นั้นเป็นประสบการณ์ที่ดีและมีคุณค่าถ้าเป็นไปอย่างเหมาะสม ……
ระยะที่ 3 ของวงจรชีวิตครอบครัว ซึ่งเป็นระยะที่ครอบครัวเริ่มมีลูกเล็กๆ ตอนแรกเริ่มแต่งงานใหม่ๆ คู่สมรสมีความสัมพันธ์กัน 2 คน แต่ต่อมาได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในครอบครัวคือ ลูก ถ้าคู่สมรสไม่ได้เตรียมตัวดีพอสำหรับบทบาทใหม่ในฐานะของการเป็นพ่อแม่
ความเครียดก็อาจจะเกิดขึ้นยิ่งถ้าลูกเกิดมาแล้ว ปัญหาที่พบบ่อยในระยะนี้ก็คือการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับคู่สมรสด้วยกันเองและกับลูกที่เกิดมา ในสังคมปัจจุบัน ภรรยาอาจต้องทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยหารายได้จุนเจือครอบครัว ภรรยาจึงต้องทำงานหนักทั้งงานนอกบ้านงานในบ้านและเลี้ยงดูลูก ภาระหนักส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับภรรยา เพราะบางครอบครัวสามีไม่ค่อยช่วยทำงานบ้าน หรือถ้าทำก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ผลที่ตามมา ก็คือ ความเหน็ดเหนื่อย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งและขุ่นข้องหมองใจ ภรรยาอาจจะรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ เพราะ สามีไม่ยอมช่วยแบ่งเบาภาระ และยังขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัวร่วมกัน ความสัมพันธ์ของคู่สมรสก็อาจจะแย่ลง เกิดปัญหาทางด้านอารมณ์เช่น ความซึมเศร้า หงุดหงิด เกิดมีปากเสียงกัน จนอาจทำให้สามีนอกใจภรรยาได้ในที่สุด
การที่แม่ต้องเลี้ยงดูลูกโดยที่พ่อไม่ค่อยมีบทบาทนั้น ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น ลูกติดแม่มากเกินไปจนไม่ยอมไปโรงเรียน อีกทั้งการไม่ได้ใกล้ชิดพ่อ เพราะพ่อมีงานยุ่งมาก ก็อาจจะทำให้การพัฒนาด้านอารมณ์และสังคมของเด็กไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร เด็กจะขาดความมั่นคงในตนเอง ขาดทักษะในการเข้าสังคมและแก้ปัญหาต่างๆ ถ้าเด็กชายติดแม่มากเกินไปก็จะไม่ได้เรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมของเพศชายจากพ่อ ส่วนพ่อเองก็ขาดความมั่นใจในการเลี้ยงลูกจึงทำตัวเหินห่างไป ผลที่ตามมาก็คือ ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกก็จะลดลง
ในระยะที่ 3นี้ ที่คู่สมรสเริ่มมีลูก ดังที่กล่าวมาแล้วตอนต้น ในหลายครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสอาจจะแย่ลงเพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กันอย่างเพียงพอ แม้เวลาอยู่ร่วมกันตามลำพังระหว่างสามีภรรยาก็ลดลงเพราะแม่อาจจะยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูลูก ความจริงการใช้เวลาร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการมีสัมพันธภาพที่ดี ถ้าหากภรรยาใช้เวลาเลี้ยงดูลูกมากเกินไป ดูแลลูกอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ไม่มีเวลาให้สามีเลยก็จะไม่ดีแน่ครับ เพราะสามีอาจจะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง หรือ ภรรยาไม่เห็นคุณค่าในตัวของเขา แล้วความรู้สึกเช่นนี้ อาจทำให้ความสัมพันธ์กับลูกและภรรยาแย่ลง หรือถ้าทั้งคู่ต่างทุ่มเทเวลาให้ลูก จนไม่มีเวลาให้กันและกัน ความรู้สึกสนิทสนมรักใคร่ที่เคยมีในระยะที่ 2 ก็อาจจะจืดจางลง ทำให้รู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยภาระ ไม่มีโอกาสที่จะมีความสุขตามประสาคู่สามีภรรยา ความพึงพอใจในชีวิตคู่อาจลดลงและเกิดปัญหาตามมา เป็นเหตุให้การเลี้ยงดูลูกบกพร่องได้
จากการวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงวงจรชีวิตครอบครัวจากระยะที่ 2 ไปสู่ ระยะที่ 3 มักจะทำให้ความพึงพอใจในชีวิตสมรสลดลง ภรรยาจะมีความรู้สึกนับถือตนเองน้อยลง สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัวในระยะนี้ก็คือช่วยให้สามีภรรยามีทักษะในการเลี้ยงลูก สามารถแบ่งหน้าที่และภาระงานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อจะได้มีเวลาและกำลังเพียงพอที่จะดูแลความต้องการของตนเองและคู่สมรส และ ช่วยให้พ่อมีบทบาทในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น และสิ่งสำคัญยิ่งกว่านี้ก็คือ คู่สมรสใดที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงผูกพันเขาทั้งสองไว้ และเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ พระเจ้าก็จะเติมเต็มความรักให้แก่คู่สมรส แล้วเขาทั้งสองจะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความรักของพระองค์อยู่เสมอ ทำให้ต้นรักของคู่สมรส เติบโต มั่นคงและยั่งยืนนาน ไม่ว่าจะมีภาระรับผิดชอบหนักขึ้นเพียงใดก็ตาม พระเจ้าก็จะทรงเสริมเรี่ยวแรงกำลังแก่คนทั้งสองให้ทำบทบาทหน้าที่ของตนได้อย่างดีและเต็มที่