ทำไมเราถึงคุยกันไม่ได้
- อุปสรรคของการสื่อสารสี่ประการ
- การสื่อสารที่ต่างกันห้าระดับ
- ความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับตนเอง การยอมรับคนอื่นและการสื่อสารกับคนอื่น ตามคำสอนของพระคัมภีร์
- การสื่อสารกับพระเจ้าเป็นตัวจักรสำคัญของการสื่อสารกับคนอื่น
- วิธีการปรับปรุงการสื่อสารกับพระเจ้าและคนอื่นให้ดีขึ้น มีสาเหตุหลายอย่างทำให้คนเราไม่สามารถเข้าใจกัน หรือคนอื่นไม่สามารถเข้าถึงตัวเรา พระคัมภีร์ให้หลักคำสอนเพื่อช่วยเราสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ
- “แต่ฉันไม่อยากพูดด้วยแล้ว” คุณเคยพูดหรือได้ยินคู่สมรสคุณพูดอย่างนี้ไหม เวลาหมดความอดทนและไม่รู้จะพูดต่อไปอย่างไรดี
มีสาเหตุหลายอย่างทำให้คนเราไม่สามารถเข้าใจกัน หรือคนอื่นไม่สามารถเข้าถึงตัวเรา พระคัมภีร์ให้หลักคำสอนเพื่อช่วยเราสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ
เหตุที่ไม่มีการสื่อสารกัน ทำไมบางคนไม่ยอมพูดจากัน เขาอาจมีสิ่งกีดขวางหรือจุดอ่อนคือ
- บางคนขาดความสามารถที่จะพูดจาสื่อสารกับคนอื่น เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้การแบ่งปันความคิดเห็นกับคนอื่นอย่างเปิดเผยมาก่อน จึงยากที่จะพูด
- บางคนกลัวการเปิดเผยความคิดหรือความรู้สึกของเขาเพราะกลัวถูกปฏิเสธ กลัวช้ำใจเมื่อคนอื่นขัดแย้งจึงปกป้องตนด้วยการเฉยเสีย เมื่อคู่สมรสไม่พูดกันจุดบกพร่องไม่ได้ขึ้นกับความสามารถในการสื่อสาร แต่กลายเป็นปฏิเสธจะสื่อสารกันต่างหาก ทำให้การสื่อสารเกิดช่องว่าง
- บางคนมีท่าทีว่าการพูดคุยกันไร้ประโยชน์ จะคุยทำไม เมื่อเขาไม่สามารถเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งได้แล้วก็ เลิกความพยายามเสียเลย4
- บางคนตีค่าตนเองต่ำ คิดว่าตนเองไม่มีความสำคัญ ความคิดไม่ดี ขาดความมั่นใจ จึงมักเก็บความรู้สึกและความคิดเห็นไว้ในใจ
การจะบอกว่าอุปสรรคการสื่อสารอยู่ที่ไหน บางครั้งก็ง่ายแต่บางครั้งก็ยาก เนื่องจากมีเหตุผลที่ซับซ้อน คู่สมรสจึงต้องทบทวนและพิจารณาให้ดีว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง
- คุณไม่สื่อสารเพราะเหตุใด
ก. ไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้
ข. กลัวที่จะเปิดเผยความคิดของตัวเอง
ค. รู้สึกไม่มีประโยชน์
ง. ความคิดฉันไม่มีคุณค่า
- คู่สมรสละคิดอย่างไร
ก.ไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้
ข.กลัวที่จะเปิดเผยความคิดของเขาเองง เขาคิดว่าความคิดเห็นของเขาไม่มีคุณค่า
ค. รู้สึกไม่มีประโยชน์
ง. เขาคิดว่าความคิดเห็นของเขาไม่มีคุณค่า
3. บางทีคุณอาจมีเหตุผลอย่างอื่นทำให้ไม่อยากสื่อสาร
การสื่อสารห้าระดับ
จากหนังสือ “ทำไมฉันกลัวที่จะบอกคุณว่าฉันเป็นใคร” ของ จอห์น พาวเวลล์ ระบุว่า เราสื่อสารกันอย่างน้อยห้าระดับ
ระดับ 5 – ใช้คำพูดแบบผิวเผินไกลตัว พูดคุยลักษณะปลอดภัยดี เช่น”สบายดีไหมครับ” “ไปไหนมาครับ” สื่อสารแบบนี้ไม่มีการแบ่งปันเรื่องส่วนตัวซึ่งกันและกัน ต่างคนมีเกราะกำบังกั้นไว้จากอีกฝ่ายหนึ่ง………เช่นคำพูด สบายดีไหมคะ สบายดีครับ……ไปไหนมาคะ…..
ระดับ 4 – รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคนอื่น เป็นการบอกเล่าถึงสิ่งที่คุณได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่มีความเห็นส่วนตัวใด ๆ พูดเฉพาะข้อเท็จจริงเหมือนรายงานข่าวภาคค่ำเลยทีเดียว บางทีก็ซุบซิบรายละเอียดบ้างแต่ไม่เอ่ยความรู้สึกของผู้พูด ตัวอย่าง รู้ไหม น้องสดสวยกำลังจะมีเจ้าตัวเล็กแล้วนะ……….อ้อ เหรอครับ พี่สุดหล่อก็กำลังจะแต่งงานแล้วหละ
. ระดับ 3 – สอดแทรกความคิดเห็นและการวิเคราะห์เข้าไปด้วย คือยอมก้าวจากเกราะกำบัง เสี่ยงแสดงความคิดเห็นลงไปแต่ระมัดระวังตัวอยู่บ้าง ถ้าเขาเห็นท่าไม่ดีสิ่งที่เขาพูดขาดการยอมรับก็จะหยุดพูดทันที ………ทำไมฉันจะทำงานนอกบ้านไม่ได้หรือ เราต้องการเงินนะ… ..ไม่ได้ครับ คุณเป็นผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่งั้นใครจะดูแลบ้าน
ระดับ 2 – แสดงความรู้สึกและอารมณ์ออกมา เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและการวิเคราะห์ เขาจะเปิดเผยความรู้สึกที่อยู่ในใจ ถ้าใครต้องการให้ผู้อื่นเข้ามาสนิทสนมด้วยเขาจำต้องแบ่งปันความรู้สึกของเขาได้….เราต้องย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่กว่านี้นะคะ บ้านนี้คับแคบยังกะรูหนู อึดอัดแย่อยู่แล้ว……แต่เราจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าเช่าบ้านละ แค่นี้ผมก็หนักใจเกินพอแล้ว
ระดับ 1…พูดแบบเปิดอกเปิดใจ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งโดยเฉพาะคู่สมรสขึ้นอยู่กับการเปิดเผยตัวเองอย่างแท้จริง ซื่อตรงต่อกัน อาจทำได้ยากเพราะเกรงถูกปฏิเสธถ้าพูดความจริง แต่มันเป็นความสัมพันธ์ที่จำเป็นต่อการเติบโตของชีวิตสมรส……..ผมไม่แน่ใจว่าควรรับตำแหน่งผู้จัดการหรือเปล่า เกรงว่าความสามารถจะไม่พอ…….คุณทำงานมาตั้ง 10 ปีแล้ว ทำดีมากด้วย ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการก็สมควรแล้วล่ะ คุณทำได้ดีน่า
การสื่อสารกับพระเจ้าล่ะ
แล้วการสื่อสารของเรากับพระเจ้าเป็นอย่างไร เราได้เปิดเผยกับพระองค์หมดเปลือกไหม หรืออยู่ระดับ 4 หรือ 5 เรามักเป็นฝ่าย พูด ๆ มากกว่าจะฟังพระองค์หรือเปล่า
ชีวิตสมรสคริสเตียนมีบุคคล 3 ฝ่ายเกี่ยวโยงคือ พระเจ้า สามี ภรรยา เป็นรูปสามเหลี่ยม พระเจ้าเป็นยอดสามเหลี่ยม การสื่อสารอยู่ระหว่างแต่ละคน เราจะเห็นว่าถ้าคนหนึ่งขาดการสื่อสารกับพระเจ้าแล้ว มีผลกระทบต่อการสื่อสารระหว่างคู่สมรสด้วย ถ้าคนทั้งสองขาดการสื่อสารกัน ก็กระทบการสื่อสารกับพระเจ้าด้วย ทั้งคู่ควรหมั่นดูแลรักษาสายสัมพันธ์พระเจ้าและซึ่งกันและกันให้เปิดอยู่เสมอ
มีอะไรบ้างที่จูงใจเราให้เปิดใจ สามารถหยิบยื่นความรักให้แก่คนอื่นได้ แต่ก่อนที่จะรู้จักรักคนอื่น เราต้องผ่านประสบการณ์สำคัญ 2 อย่าง คือได้รับความรักจากคนอื่นก่อนและเราต้องรักตัวเองด้วย แต่ถ้าช่วงก่อนวัยรุ่น เราไม่เคยรับความรักแท้ที่ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรักตัวเองแล้ว เมื่อโตขึ้นเราจะรักคนอื่นและรักตัวเองได้อย่างไร ความรักไม่มีเงื่อนไขคือความรักจากองค์พระเยซูคริสต์ ยอห์นผู้ถูกขนานนามว่าอัครทูตแห่งความรักได้เขียนว่า “โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร
ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์ทรงมาเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรรักซึ่งกันและกันด้วย…ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวยังไความรักที่สมบูรณ์ เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน 1ยน.4.9-11,18,19
การที่เราสามารถรักคนอื่นได้นั้น เพราะพระเจ้ารักเรา เมื่อเราได้รับการอภัยโทษและการยอมรับจากพระเจ้าเราก็จะมีประสบการณ์ความรักจากพระองค์ แต่หลายคนมักมีปัญหาซุกซ่อนอยู่ คือลึก ๆ ในจิตใจไม่เชื่อว่าพระเจ้ายอมรับเขาจริง เขาจึงไม่สามารถยอมรับตัวเองได้อย่างแท้จริง
พระเจ้ารักคุณแบบไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น คุณไม่ต้องกระเสือกกระสนที่จะปรับปรุงตัวเองให้มีค่าสมกับความรักของพระเจ้า ถ้าทำอย่างนั้น เท่ากับเล่นเกมส์กับความรักดังเช่นที่ทำกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะคู่สมรสของตน คุณกำหนดความรักเอาไว้สวยหรู แต่ตัวเองก็ก้าวไปไม่ถึง จึงรู้สึกไม่พอใจ เครียด โมโห ต่อจากนั้นความกลัวก็จะทำลายการรักตัวเองและคนอื่น ๆ.