ปฏิมากรมนุษย์รูปใหญ่ในดาเนียลบทที่ 2 จะถูกแทนที่ด้วยภูเขาใหญ่ ซึ่งภูเขานี้เป็นแบบเล็งถึงอาณาจักรที่นิรันดร์ของพระเจ้าที่จะปกครองพิภพ (แผ่นดินโลก) (ข้อ 35, 44). นี่ก็หมายความว่าหลังจากการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเสด็จมาเพื่อทำลายรูปแบบแห่งการปกครองทุกอย่างของมนุษย์ แล้วในที่สุดพระองค์ก็จะนำอาณาจักรที่เป็นนิรันดร์ของพระเจ้ามาสู่บนแผ่นดินโลก .
ข้อ 35 กล่าวว่า “แต่ก้อนหินที่กระทบปฏิมากรนั้นกลายเป็นภูเขาใหญ่จนเต็มพิภพ” ก้อนหินนี้ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นภูเขาใหญ่ นี่ก็หมายความถึงการเพิ่มพูนขึ้นของอาณาจักรแห่งพระเจ้าซึ่งก็หมายถึงคริสตจักรของพระองค์ พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะและคริสตจักรเป็นพระกายของพระองค์ดังนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วอาณาจักรของพระเจ้าจะต้องกลับเข้ามาครอบครองโลกนี้อีกครั้งหนึ่งเหมือนดังเช่นที่เคยเป็นมาสมัยที่พระองค์เริ่มสร้างในครั้งแรกนั้น
วันนี้คริสตจักรคือการก่อตั้งอาณาจักรแห่งสวรรค์บนแผ่นดินโลกนี้ดังที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสว่า “เพราะนี่แน่ะ แผ่นดินของพระเจ้านั้นอยู่ท่ามกลางพวกท่าน” ลูกา 17 : 21 โดยที่พระเจ้าปรารถนาให้คริสตจักรเป็นแบบจำลองการปกครองฝ่ายวิญญาณที่จะมีขึ้นในอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่จะมาถึงในโลกหน้า เพราะคริสตจักรที่มีผู้เชื่อมีชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเยซูคริสต์นั้นจะสำแดงออกถึงความรักของพระองค์จนกลายเป็นพระกายของพระองค์ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการสำแดงชีวิตของพระคริสต์ในโลกนี้นั่นเอง
คำอุปมาของเมล็ดพืชในมาระโก 4:26–29 ได้เปิดเผยว่าอาณาจักรของพระเจ้านั้นเป็นการมีชีวิตที่เติบโตขึ้นในพระคริสต์ได้อย่างไร ข้อ 26 กล่าวว่า “แผ่นดินของพระเจ้าอุปมาเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน”. เมล็ดพืชนี้ก็คือพระวจนะของพระเจ้าซึ่งก็หมายถึงองค์พระคริสต์เองผู้ซึ่งทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ได้ทรงนำชีวิตของพระองค์เองเข้ามาสู่ชีวิตของมนุษย์ผู้เป็นคนบาปในโลกนี้ถ้าพิจารณาตามคำอุปมานั้น เมล็ดพืชนี่จำเริญขึ้นเป็นต้น ออกรวง มีเมล็ดข้าวเต็มรวง และเมล็ดนั้นก็สุก เพื่อนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยว (ข้อ 27–28) ตั้งแต่วันที่พระคริสต์ได้เสด็จมาเพื่อหว่านตัวของพระองค์เองลงในสภาพมนุษย์ที่เป็น “ดิน” แล้ว พระองค์ก็ได้ให้ชีวิตแก่มนุษย์ซึ่งเจริญเติบโตขึ้นภายในชีวิตของเขาอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดแล้วการเติบโตนี้ก็จะกลายเป็นภูเขาใหญ่ที่เติมเต็มทั่วแผ่นดินโลกเพื่อจะเป็นอาณาจักรที่นิรันดร์ของพระเจ้าในที่สุด
ดาเนียลบทที่ 2 เป็นถ้อยคำที่ได้กล่าวถึงพระคริสต์ที่ทรงเป็นศิลาและภูเขา ซึ่งได้สำแดงให้เห็นว่าพระคริสต์องค์ทรงเป็นศูนย์กลางของพันธกิจทั้งสิ้นของพระเจ้า…ในฐานะที่ทรงเป็นศิลานั้นพระคริสต์ทรงเป็นรากฐานแห่งความเชื่อและความมั่นคงของการปกครองแห่งสวรรค์ ส่วนในฐานะที่เป็นภูเขานั้นพระองค์ทรงกระทำให้อาณาจักรแห่งสวรรค์นั้นเติบโตและขยายให้ใหญ่ขึ้นจนเต็มพิภพ
ลูกา 1:32 วรรคหลังได้กล่าวถึงองค์พระผู้ช่วยว่า “พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน”. พระเยซูได้ปฏิสนธิจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และบังเกิดจากหญิงพรหมจารีที่เป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นบุตรขององค์ผู้สูงสุด ขณะเดียวกันพระองค์ก็ยังทรงเป็นบุตรหลานของกษัตริย์ดาวิดผู้เป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูงศักดิ์ (มธ.1:1; 22:45). ฐานันดรของพระองค์นั้นทั้งศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายพระเจ้าและเป็นเนื้อหนังฝ่ายมนุษย์.
ลูกา 1:33 กล่าวต่อไปว่า “และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้จัก สิ้นสุดเลย”. ข้อก่อนหน้านี้ได้เปิดเผยถึงวงศ์วานของพระเยซู ส่วนข้อนี้ได้เปิดเผยอาณาจักรของพระองค์ พระเยซูจะทรงมีวงศ์วานของยาโคบ ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลเพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการเป็นกษัตริย์ครอบครองของพระองค์ (กจ.1:6; 15:16) โดยวงศ์วานนี้ พระองค์จะทรงปกครองฝ่ายจิตวิญญาณทั่วทั้งแผ่นดินโลก (วว.11:15) และจากนั้นก็คือในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ตราบชั่วนิรันดร์ (วว.22:3, 5)
ถ้อยคำสั้นๆ ที่ทูตสวรรค์ได้กล่าวกับมาเรียนั้น (ลก.1:30–33) ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าพระองค์ผู้บังเกิดมาจากเธอทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นมนุษย์ …ในด้านของพระเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์นั้นพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ส่วนในด้านของมนุษย์เนื้อหนังนั้นพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์. ถ้าพิจารณาในด้านของมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเป็นบุตรหลานของดาวิดซึ่งจะได้รับพระที่นั่งของดาวิดและจะเป็นกษัตริย์ครอบครองวงศ์วานของยาโคบ ส่วนในด้านพระเจ้านั้นพระองค์จะทรงครอบครัวอาณาจักรที่นิรันดร์ของพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์o.