การที่คนเรามองเห็นได้นั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันของเลนส์สองชนิดในการรวมแสงให้ไปตกบนจอประสาทตา เลนส์ที่อยู่ด้านหน้า เรียกว่า “กระจกตา” ส่วนเลนส์ที่อยู่ด้านใน เรียกว่า “เลนส์แก้วตา” ค่ะ
กระจกตาและเลนส์แก้วตาจะรวมแสงที่เข้ามาในดวงตาเพื่อให้ไปตกบนจอประสาทตาเป็นจุดเดียว หลังจากนั้นแสงจะถูกส่งเป็นสัญญานไฟฟ้าไปที่สมองเพื่อตีความหมายเป็นภาพที่เห็นตรงหน้า นี่คือการทำงานของร่างกายอันอัศจรรย์ของเรา ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา
วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องต้อกระจกค่ะ ต้อกระจก เป็นปัญหาทางสายตาที่มีผลต่อประชาคมโลกมานานแล้ว WHO ประเมินว่าทั่วโลก หกพันล้าน มีคนตาบอดประมาณ 35-40 ล้าน ซึ่งเป็นผลงานของต้อกระจกและโรคแทรกของมันถึง 45% โดยเฉพาะในแถบประเทศที่ไม่ร่ำรวยนักซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดจัด
ต้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาซึ่งอยู่ในตาของคนเรา ซึ่งปกติจะมีลักษณะใสเหมือนกระจกจะเริ่มขุ่นมัวขึ้นทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง
- สายตาพร่ามัว ซึ่งมองเห็นไม่ชัดเจน เหมือนมีอะไรมาบังภาพบางส่วนไว้ ซึ่งจะเกิดขึ้นช้า ๆ โดยไม่มีอาการปวดตาร่วมด้วย บางท่านจะมองเห็นภาพซ้อนเหมือนมีวัตถุปกติมากกว่าหนึ่งอัน ทั้งที่มองด้วยตาข้างเดียว
- ตาไม่สู้แสง นอกจากนี้การแยกความแตกต่างของความมืด-สว่างเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า หรือการมองดวงไฟในเวลากลางคืนจะทำได้ลดลง
- เมื่อเป็นมากขึ้นต้อกระจกจะเริ่มรบกวนการปฏิบัติภารกิจประจำวัน เช่น การขับรถ การอ่านหนังสือที่ยากขึ้น เป็นต้น
- หากทิ้งไว้นานโดยไม่รักษาอาจเกิดโรคต้อหินเฉียบพลันแทรกซ้อนทำให้ตาบอดในที่สุด
อย่าลืมตรวจการมองเห็นของดวงตาทั้งสองข้างของท่านทุกวันนะคะ