– ทำไมทุกวันนี้หลายครอบครัวจึงขาดผู้นำ – พระคัมภีร์ระบุถึงบทบาทของภรรยาไว้อย่างไร
– การยอมฟังสามีหมายความว่าอะไร – การรักภรรยาหมายความว่าอะไร
สังคมไทยในปัจจุบัน มีความสับสนกับบทบาท และความรับผิดชอบของภรรยาในฐานะแม่ และสามีในฐานะพ่อเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหน้าครอบครัวกันแน่ หรือจำเป็นต้องมีหัวหน้าครอบครัวด้วยหรือ
สมมุติว่า มนุษย์ต่างดาว เหินเวหาข้ามฟ้ามาจอดยานอวกาศหน้าบ้านคุณ ก้าวลงจากเครื่อง แล้วกดกริ่ง ลูกสาวคุณออกไปเปิดประตูให้ มนุษย์ต่างดาวนั้นพูดว่า “พาฉันไปหาหัวหน้าหน่อย” ลูกคุณจะพาเขาไปหาใคร ไปหาพ่อ หรือแม่ หรือ ไปหาทั้งคู่ หรือเด็กจะอ้างว่า ตัวหนูนี่แหละ คือหัวหน้า ทุกวันนี้ใครเป็นหัวหน้าหรือผู้นำในครอบครัว
สมัยนี้ ดูเหมือนว่าสามีหรือพ่อมีภาพพจน์ใหม่ คือ รับบทเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว และมอบหน้าที่อื่นๆทั้งหมดให้ภรรยาสั่งการและตัดสินใจ ส่วนตัวสามีนั้นได้ละเลยความรับผิดชอบของการเป็นผู้นำครอบครัวไป ผันตัวเองกลายมาเป็นผู้ช่วยภรรยาแทน อีกสาเหตุหนึ่ง ก็เพราะหลายครอบครัวคิดว่า ต้องอยู่ด้วยกันแบบประชาธิปไตย ทุกคนรวมทั้งลูกมีสิทธิ์โหวดเสียงเท่า ๆ กัน การทำอย่างนี้ถูกต้อง หรือสอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่ คริสเตียนหลายครอบครัวเกือบบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะขาดผู้นำ เนื่องจากมองข้ามคำสอนที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
- จากเรื่องราวข้างต้น หลายครอบครัวขาดผู้นำที่เป็นผู้ชาย เพราะสามีมักทุ่มตัวให้กับอาชีพการงานมาก
จนละเลยหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้นำของเขา ประสบการณ์และข้อสังเกตของคุณ คุณเห็นด้วยหรือไม่
- จดรายการความรับผิดชอบบางอย่าง ที่คุณรู้สึกว่า สามีละเลย เพราะมัวทุ่มเทให้กับงานอื่นๆมากเกินไป
ในพระคัมภีร์ได้กำหนดบทบาทของชีวิตสมรสไว้ชัดเจน ซึ่งในบทบาทของภรรยานั้น พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง หน้าที่ของภรรยาต่อสามีไว้อย่างชัดเจน ก็คือ
“ ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟัง
องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่า สามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น ” (อฟ. 5:22-33)
นั่นคือ สามีต้องเป็นผู้นำของครอบครัว
เรื่อง บทบาทของภรรยาในฐานะเป็นคู่อุปถัมภ์ ในพระคัมภีร์สอนว่า พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงขึ้นมาเพื่อเป็นคู่อุปถัมภ์ของผู้ชาย ทรงกำหนดให้เธอเป็นผู้ช่วยและผู้เสริมสร้างสามี ในความเป็นจริงส่วนใหญ่แล้ว ภรรยาจะเป็นผู้เกื้อหนุนให้สามีประสบความสำเร็จในชีวิต (ปฐก. 2:18-20) และยังได้สอนว่า ภรรยาควรยอมเชื่อฟังสามีของเธอ และในเวลาเดียวกันเธอก็เป็นผู้เสริมสร้างสามีด้วย ดังนั้นคุณสามีทั้งหลาย
หากคงประสบความสำเร็จ จงรู้เถิดว่า ภรรยาของคุณนั่นแหละเป็นผู้ส่งเสริมและนำความสำเร็จนั้นมาให้คุณ
แนวคิดเรื่องภรรยาควรยอมเชื่อฟังสามีและเป็นผู้อุปถัมภ์ จะประสานกันได้ด้วยวิธีไหน และเราจะทำให้มีความหมายในทางปฏิบัติได้อย่างไร สิ่งสำคัญอย่างแรกคือ ภรรยาควรยอมฟังสามีด้วยความเต็มใจและด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความขมขื่น หรือความกลัว ภรรยามิใช่อยู่ในฐานะคนรับใช้ในบ้าน แต่เธอเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพเฉพาะตัว มีความต้องการของเธอเอง มีหน้าที่ความรับผิดชอบและมีสิทธิในการตัดสินใจเท่า ๆ กับสามี สิ่งที่จะช่วยทำให้คู่สมรสมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นและอิ่มเอมใจได้ ก็คือ ให้ภรรยายอมเชื่อฟังสามีในฐานะที่เขาเป็นผู้นำครอบครัว เธอยอมเชื่อฟังสามี ไม่ใช่เป็นเพราะสามีเรียกร้อง แต่เพราะพระเยซูคริสต์ทรงสั่งให้ทำอย่างนั้น
การไม่ยอมเชื่อฟังสามี ก็จะทำให้ชีวิตสมรสเกิดปัญหาขึ้นมาได้ แล้วก็จะส่งผลถึงจิตใจ และวิญญาณด้วย ภรรยาที่ดีควรจะหนุนใจ และเสริมสร้างบทบาทการเป็นผู้นำของสามี ไม่ใช่ ทำลาย ก้าวก่าย แย่งชิงอำนาจ หรือ ลิดรอนบทบาทเขา ภรรยาที่ดีควรให้เกียรติสามีเสมอ และยอมรับความเป็นผู้นำของสามีด้วยความเต็มใจ และด้วยความรักอย่างแท้จริง
ในพระคัมภีร์ สอนเราว่า ” พระเจ้ามอบหมายหน้าที่ผู้นำไว้กับสามี และให้ผู้ชายรับผิดชอบ เรื่องการตกอยู่ในความบาปของมนุษย์ เนื่องจากบาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนผู้ชายคนเดียว แท้จริงแล้วผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกหลอกลวงจากซาตาน ไม่ใช่ผู้ชาย (รม.5:12, ท ธ. 2.14) เมื่อพระเจ้าได้ทรงตั้งสามีให้เป็นศีรษะของภรรยา มิได้หมายความว่า เธอไม่มีสิทธิ์ที่ออกความคิดเห็นหรือคำคัดค้านใดๆ แต่เธอต้องไม่แย่งสิทธิ อำนาจหน้าที่ในการเป็นผู้นำครอบครัวของสามี มาเป็นของตน เธอต้องยอมให้สามีรับผิดชอบในการเป็นผู้นำอย่างแท้จริง
ต่อไป จะกล่าวถึง บทบาทของสามีในฐานะเป็นผู้นำของครอบครัว ว่าเป็นอย่างไร
ในพระคัมภีร์ สอนถึงบทบาทของสามีว่า … “ฝ่ายสามีจงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เอง เพื่อคริสตจักร เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ โดยการทรงชำระด้วยน้ำ และพระวจนะ เพื่อพระพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใด ๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรรักภรรยาของตน เหมือนกับรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตน ก็รักตนเอง เพราะว่า ไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอมเหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์ เพราะเหตุนี้
ผู้ชายจึงละบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” (อฟ. 5:25-33)
น่าเสียดาย ที่ผู้ชายหลายคน คิดแต่เพียงว่า “ สามีเป็นศีรษะของภรรยา ” ไม่ได้สนใจ ถ้อยคำที่กล่าวว่า “ เหมือนพระคริสต์ ทรงเป็นศีรษะของตริสตจักร ” พระเจ้าได้ทรงมอบสิทธิอำนาจไว้กับสามีก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้สามีวางอำนาจเหนือภรรยา เขามีสิทธิอำนาจก็จริง แต่ก็ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นต่อพระเจ้า
เมื่อสามียอมจำนนชีวิตต่อพระคริสต์ พระองค์จะเปลี่ยนสิทธิอำนาจของเขาเป็นความรัก ให้เขาห่วงใย และเสียสละต่อภรรยา พระคัมภีร์ไม่ได้ให้สิทธิอำนาจเผด็จการแก่สามี ฉะนั้นสามีจึงไม่ควรยัดเยียดความคิดส่วนตัวให้ภรรยาหรือ ออกคำสั่งโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและความรู้สึกของเธอ สามีที่ดีต้องไม่อวดเบ่งในการเป็นผู้นำด้วย ในพระคัมภีร์ไม่มีคำสอนสักตอนเดียว ที่บ่งชี้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงวางอำนาจ หรือใช้อำนาจแบบเผด็จการกับคริสตจักร หรือ ผู้เชื่อที่เป็นประชากรของพระองค์
แต่ ในพระคัมภีร์ บันทึกว่า พระเยซูคริสต์นั้น ได้ทรงเสียสละชีวิต สำแดงความรักรัก และได้รับใช้คริสตจักร นี่คือ แบบอย่างของพระองค์ ที่สามีต้องปฏิบัติตามในการดูแล เอาใจใส่ และรักภรรยา หากสามี
คนใดไม่ทำตามนี้ นอกจากเขาจะมีปัญหาในชีวิตแต่งงานแล้ว เขาจะมีปัญหาฝ่ายจิตใจและจิตวิญญาณด้วย เพราะเขาไม่ได้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า และจะต้องรับผิดในบาปที่ละเลยสิ่งต่างๆเหล่านั้น
สามีที่มีความรักแท้ ย่อมทำทุกสิ่งเพื่อให้ภรรยามีความสุขและอิ่มเอมใจ ความรับผิดชอบอันแรกของผู้ชาย คือ ภรรยาของเขาเอง ความรักแท้ควรทำให้สามีพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อประโยชน์สุขของภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่งของเขานั่นเอง
ความรักของสามีต้องบริสุทธิ์ ไม่ทำในสิ่งเป็นการลดคุณค่าหรือทำร้ายจิตใจของภรรยา ไม่กะเกณฑ์ให้ภรรยาทำโน่น ทำนี่ เพื่อความสุขสบายของตน ไม่ควรคิดว่า ภรรยาเป็นแค่คนรับใช้ประจำบ้าน ซึ่งเพียงแต่ทำอาหาร ซักผ้า เลี้ยงลูก ตรงกันข้าม สามีผู้มีความรักอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงรักคริสตจักร ต้องทะนุถนอม ให้การเลี้ยงดู มีความห่วงใยและเอาใจใส่ภรรยาของตน สามีควรจะเสริมสร้างชีวิตเธอ และปรนนิบัติรับใช้เธอแบบเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ทรงรัก ทรงคอยดูแล และทรงห่วงใยต่อสวัสดิภาพของคริสตจักร
ในพระคัมภีร์ได้สอนสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของชีวิตสมรสไว้อย่างชัดเจน คือสำหรับบทบาทของภรรยานั้น หน้าที่ของภรรยาต่อสามี ก็คือ ภรรยาจงยอมฟังสามีของตน เหมือน ยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร โดยระลึกว่า สามีนั้นคือ ผู้นำของครอบครัว ในทางปฏิบัติที่ภรรยาควรทำนั้น สิ่งสำคัญก็คือ ภรรยาควรยอมฟังสามีด้วยเต็มใจ และด้วยความรัก เพราะเป็นท่าทีที่สำคัญในการใช้ชีวิตคู่สมรส เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงในครอบครัว
ส่วนเรื่อง บทบาทของภรรยาในฐานะเป็นคู่อุปถัมภ์ของสามีนั้น ในพระคัมภีร์ก็ได้สอนว่า พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงขึ้นมา เพื่อเป็นคู่อุปถัมภ์ของผู้ชาย พระองค์ทรงกำหนดให้เธอเป็นผู้ช่วย และเป็นผู้เสริมสร้างสามี เราจะพบว่า ผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี หรือ นายกรัฐมนตรี ส่วนใหญ่เขามักจะพูดเสมอว่า เบื้องหลังในการประสบความสำเร็จของเขานั้น มาจากภรรยาของเขา ที่เป็นผู้เกื้อหนุนและส่งเสริมเขา จนทำให้เขาได้เป็นประธานาธิบดี หรือ เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นไหมว่า ภรรยามีบทบาทสำคัญขนาดไหน จริงไหม
บทบาทสำคัญของสามีในฐานะเป็นผู้นำของครอบครัว ก็คือ ในพระคัมภีร์ สอนสามีจงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร ในพระคัมภีร์บันทึกว่า พระเยซูคริสต์ได้ทรงเสียสละชีวิต ทรงสำแดงความรักรัก และได้รับใช้คริสตจักร เช่นเดียวกัน สามีที่มีความรักแท้ ก็ต้องทำทุกสิ่งเพื่อทำให้ภรรยามีความสุขและอิ่มเอมใจ ความรักแท้จะทำให้สามีพร้อมที่จะเสียสละ เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงเสียสละและรักคริสตจักร ฉะนั้นสามีในฐานะผู้นำครอบครัว ต้องทะนุถนอม ให้การเลี้ยงดู มีความห่วงใยและเอาใจใส่ภรรยาของตน ควรจะเสริมสร้างชีวิตเธอและปรนนิบัติรับใช้เธอเพื่อประโยชน์สุขของภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่ง
“ หากสามีรัก และปรนนิบัติภรรยา เหมือนดัง เธอเป็นราชินี เช่นกัน
ภรรยา ก็จะเชื่อฟัง และอุปถัมภ์สามีของตน เหมือนดังเป็นพระราชา ”