ความมืดทำให้เรารับรู้อะไรไม่ได้และทำอะไรไม่ถูก ในชีวิตจริงของมนุษย์เรานั้น ไม่ได้มีแค่ความมืดในทางกายภาพที่ทำให้ตาเรามองไม่เห็นเท่านั้น แต่มีความมืดในทางสติปัญญา และความมืดในทางจิตวิญญาณด้วย ความมืดทางสติปัญญาทำให้เราหาทางออกของปัญหาที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมไม่ได้ ความมืดทางจิตวิญญาณทำให้เราขาดความหวัง กำลังใจ และความชื่นชมยินดี
ความมืดตรงกันข้ามกับความสว่าง ความมืดเกิดจากการไม่มีความสว่าง ที่ใดมีความสว่างที่นั่นย่อมไม่มีความมืด เมื่อความสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็จะถูกขับไล่ออกไปโดยปริยาย ดังนั้นที่ใดมีความมืดก็แสดงว่าที่นั่นขาดความสว่าง เพราะความมืดเกิดจากการขาดความสว่าง เราจึงสามารถแก้ปัญหาความมืดได้ด้วยการทำให้เกิดความสว่าง ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น’”(ปฐมกาล 1:2-3)
ความมืดอยู่ตรงกันข้ามกับความสว่าง เมื่อเกิดความมืดในทางสติปัญญาที่ทำให้เราหาทางออกไม่ได้ ถ้าเราสามารถหาทิศทางที่ตรงกันข้ามได้ และทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เราก็สามารถแก้ปัญหาได้
ความสว่างทำหน้าที่ขับไล่ความมืด ดังนั้นเมื่อมีความมืดเราไม่จำเป็นต้องไปไล่ความมืด และเราจะไม่สามารถไล่ความมืดออกไปได้ แค่เราสร้างความสว่างหรือหาความสว่างมาตั้งไว้เท่านั้น ความมืดก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว
โรคจิตโรคประสาทที่เกิดจากความเครียดในสังคมเมืองนั้นแก้ได้ด้วยการเดินทางไปพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ ความท้อแท้สิ้นหวังเพราะพึ่งตนเองไม่ได้นั้นสามารถแก้ได้ด้วยการเปิดใจแสวงหาพระเจ้าเป็นที่พึ่ง นี่คือหนทางสู่ความสว่างในทางจิตวิญญาณ