โรม 7 : 18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ
ฟิลิปปี 2 : 13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์
กระบวนการทางความคิดของมนุษย์ได้ถูกปลูกฝังให้มีความเชื่อว่า มนุษย์สามารถกระทำในสิ่งต่างๆ ได้ ถ้าใช้ความพยายามมากเพียงพอ ด้วยความคิดลักษณะนี้จึงทำให้จิตใจของมนุษย์เองเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ความเห็นแก่ตัว และการล่วงละเมิด แม้ว่าบ่อยครั้งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแต่ด้วยความไม่ยอมรับความจริงของชีวิต ทำให้มนุษย์พยายามค้นหาหนทางในการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากสิ่งที่กดดันและบีบรัดด้วยตัวเองตลอดมา เหมือนดังคนที่ตกลงไปในบ่อทรายดูดยิ่งด้นรนเพื่อที่จะให้พ้นจากหล่มทราย แต่ก็กลับยิ่งทำให้ตนเองจมลึกลงไปทุกที แม้จะไม่ดิ้นรนหรืออยู่เฉย ๆ ก็ต้องจมลงไปในบ่อทรายลงไปเรื่อยๆ ความบาปทำให้เกิดผลในทางเลวร้ายต่อตัวของมนุษย์เองอย่างหาที่สุดมิได้ ชีวิตของเราตกต่ำลงไปโดยไม่มีหนทางที่จะก้าวพ้นจากทางแห่งความเลวร้ายนี้ได้
พระเยซูทรงตรัสเป็นครั้งแรกในการประกาศพระกิตติคุณของพระองค์ต่อชาวโลกว่า “จงกลับใจเสียใหม่” การกลับใจนี้มิได้หมายเพียงแค่การละเลิกจากการกระทำอันเป็นความผิดความบาป แต่การกลับใจนั้นยังหมายรวมถึง การยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถและพลังเพียงพอที่จะต่อสู้กับความบาปที่ทำให้ชีวิตของตนเองตกต่ำลงไปได้ “คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณะของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่ว จะมากระทำความดีก็ได้” เยเรมีย์ บทที่ 13 : 23 มนุษย์นั้นพยายามจะจัดการชีวิตของตนเองและของผู้อื่นอยู่เสมอ อย่างไรก็ดีการจัดการเหล่านั้นกลับมักจะพบกับการล้มเหลวเสมอ ดังนั้นในขั้นตอนแรกที่จะทำให้เราสามารถกลับใจใหม่ได้ก็คือ “ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมและจัดการกับชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง”
ประการต่อมาเราต้องมีความมั่นใจว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราและอยู่ภายในเรา พระองค์จะทรงกระทำกิจผ่านทางตัวของเรา เป็นความวางใจ เป็นความศรัทธา เป็นความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่มาจากความรู้ หรือสติปัญญาแต่เป็นของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้ “ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด” มาระโก 9 : 24 พระเจ้าเป็นผู้เริ่มปลูกฝังเมล็ดแห่งความเชื่อเอาไว้ในใจของเราเป็นเมล็ดที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา จะเป็นผู้ดูแลและช่วยเหลือในการดำเนินชีวิตของเรา ด้วยการรับรู้ว่าเราไม่สามารถที่จะรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องฤทธานุภาพอันสูงสุดขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ แต่เราสามารถเชื่อว่าพระองค์ผู้นั้นจะทรงช่วยเหลือเราในสภาวะที่เราไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เราต้องการพลังที่มากกว่าตัวเราเพื่อช่วยเหลือเรา ความเชื่อเป็นฐานแห่งการนำพาให้เราได้รับรู้ว่าการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อนั้นจะต้องได้รับการครอบคลุมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า โดยมีพระองค์เป็นผู้เพิ่มเติมสิ่งที่ขาดให้กับชีวิตของเรา
ในฐานะผู้เชื่อสิ่งที่เราควรทำก็คือสำรวจตัวตนของเราว่าความเชื่อของเราอยู่ในจุดใด ความเชื่อของเราเป็นเพียงแนวทางของการนับถือศาสนาหรือเป็นแนวทางแห่งชีวิตที่แท้จริงและมีพระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงนำ เพราะประเด็นนี้เป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งที่จะกำหนดท่าทีและบทบาทในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อการตอบสนองต่อการทรงนำของพระเจ้า ผลแห่งการกระทำตามความเชื่อนั้นคือผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าที่กระทำกิจอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งจะส่งผลให้มีชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่กล่าวว่าการดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ, การดำเนินชีวิตด้วยความรัก, การดำเนินชีวิตด้วยการทรงนำ, การดำเนินชีวิตด้วยการเกิดผล หรืออื่น ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่พระเจ้าได้ทรงสถิตอยู่ภายในของท่านทั้งหลายเท่านั้น “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง” 1 โครินธ์ 9 : 16