วันเวลาได้ผ่านพ้นไปอย่างไม่รอคอยเหมือนกระแสน้ำที่ไม่หวนคืนกลับมา ผู้คนอาจจะมีความคาดหวังต่าง ๆ นา ๆ ในระยะเวลาที่ผ่านพ้นไป..เมื่อย้อนกลับมาระลึกถึงสิ่งที่ได้ผ่านไป กับสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้นั้นอาจจะไม่เท่าเทียมกัน แต่ถึงอย่างไรการเริ่มต้นที่จะตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตนับเป็นสิ่งที่ดี การกลับมาสำรวจความบกพร่องของตนเองในเวลาที่ผ่านมานั้นเป็นสิ่งควรกระทำ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรากลับใจเสียใหม่ และบังเกิดใหม่ ดังนั้นการใช้เวลาที่จะสำรวจการกระทำของตนเองและกลับใจเสียใหม่ จึงเป็นความจำเป็นสำหรับความเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และเมื่อสำรวจตัวเองแล้วการตั้งใจเริ่มต้นที่จะกระทำสิ่งใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำตามมา
- รุ่งอรุณ…สัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นที่ดี
ให้ทุกวันเป็นวันใหม่ที่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์ในการทำงาน การเริ่มต้นที่ดีในแต่ละวันในเวลาเช้านั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การปรับอารมณ์ให้แจ่มใสเบิกบาน, การทำจิตใจให้คึกคัก, เป็นการเพิ่มพลังให้กับชีวิตในแต่ละวันอย่างสำคัญยิ่ง
“ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น” มก. 1 : 35- เริ่มถ่ายทอดความชื่ืนชมยินดีของคุณไปสู่คนอื่น
โดยเริ่มจากยิ้มทักทายทุก ๆ คนที่พบเจอ….และต้องเอ่ยนามทักทายทุก ๆ คนเสมอ พยายามจดจำชื่อของทุกคนที่ทำงานร่วมกับเราให้ได้ และเรียกชื่อของเขาเมื่อทักทาย เพราะสิ่งนั้นคือการแสดงให้เห็นว่า เราให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของเขา
“นายประตูจึงเปิดประตูให้ผู้นั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป” ยน. 10 : 3- มีรอยยิ้มรับกับงานในทุก ๆ วัน
รอยยิ้มนั้นไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น สังเกตได้ว่าใครก็ตามที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอจะเป็นที่รักของคนเป็นจำนวนมาก รอยยิ้มเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่มีจิตใจร่าเริงและแจ่มใส โดยเฉพาะถ้ามีใครมอบหมายงานให้คุณช่วยทำ แล้วคุณมีรอยยิ้มรับ แสดงให้เห็นว่าคุณมีความเต็มใจที่จะช่วย แต่ตรงกันข้ามถ้าคุณรับด้วยสีหน้าบึ้งตึง หรือหม่นหมอง ก็จะแสดงให้เห็นว่าคุณไม่พอใจที่จะช่วยงานนั้น
“ใจที่ยินดีกระทำให้ใบหน้าร่าเริง แต่โดยความเสียใจดวงจิตก็สลายลง” สภษ. 15 : 13- อย่าพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” แต่ให้ไตร่ตรองและพิจารณา
เมื่อมีผู้มอบหมายงานมาให้คุณทำ คุณควรตอบรับว่า “ครับ, ค่ะ” พร้อมกับลงมือทำทันที แต่ถ้าขณะนั้นคุณมีงานเร่งด่วนกำลังทำอยู่ด้วย ก็ควรบอกว่า “งานที่ทำอยู่ก็กำลังเร่งด่วน ขอให้ทำงานนี้่เสร็จก่อนได้หรือไม่” อย่างไรก็ดีควรจะพิจารณาว่างานใดเร่งด่วนกว่ากัน ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ให้ขอคำแนะนำจากผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
“ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของหัวหน้าของท่าน จงให้เขาทำงานนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่ เสมือนหนึ่งผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน” ฮบ. 13 : 17- ไม่หวังพึ่ง “คนโน้นคนนี้” อยู่เสมอ
เมื่ออยู่ในที่ทำงานอย่าคอยหวังอยู่แต่ว่า “ไม่ช้าก็เร็วก็จะมีคนทำสิ่งนี้” อย่างเด็ดขาด ถ้าเจ้าหน้าที่แต่ละคนคอยแต่จะเกี่ยงกันโดยทุกคนคิดว่า “คนโน้นคนนี้จะโทรศัพท์มา, คนโน้นคนนี้จะส่งเอกสารให้, คนโน้นคนนี้จะช่วยจัดการแทนฉัน, ฯลฯ” ถ้างานทุกชิ้นต้องคอยหวังว่าผู้อื่นจะคอยจัดการให้ แล้วจะหาประสิทธิภาพในการทำงานได้จากที่ใด
“เพื่อว่าเมื่อท่านมีใจพร้อมอยู่แล้ว ท่านก็จะได้ทำให้สำเร็จตามความสามารถของท่าน เพราะว่าถ้ามีน้ำใจพร้อมอยู่แล้ว พระเจ้าก็พอพระทัยที่จะทรงรับตามที่ทุกคนมีอยู่ มิใช่ตามที่เขาไม่มี ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าให้การงานของคนอื่นเบาลง และให้การงานของพวกท่านหนักขึ้น แต่เป็นการให้กันไปให้กันมา ในยามที่พวกท่านมีบริบูรณ์เช่นเวลานี้ ท่านก็ควรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน และในยามที่เขามีบริบูรณ์ เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า คนที่เก็บได้มากนั้น ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่” 2 คร. 8 : 11 – 15- ยิ่งถูกคาดหวังสูง ก็ยิ่งรับการตำหนิที่รุนแรง
มนุษย์ย่อมต้องกระทำผิดพลาดบ้าง ดังนั้นการยอมรับคำตำหนิอย่างหน้าชื่นตาบานจึงเป็นสิ่งที่สมควร ไม่ใช่นำมาเป็นประเด็นท้อถอย การที่ถูกตำหนิจากผู้บริหารแสดงว่าเขาฝากความหวังเอาไว้กับคุณมาก ดังนั้่นสิ่งที่ควรก็คือต้องมีความมุมานะต่องานที่ทำอย่างไม่ย่อท้อ ไม่นำมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงาน
“ฝ่ายคนแรกมาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า เงินมินาหนึ่งของพระองค์ ได้กำไรสิบมินา’ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด” ลก. 19 : 16