ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
ยน.17:17 บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์
ยน.18:37 …พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ ทุกคนที่อยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา”
การฟื้นฟูชีวิตให้พ้นจากความบาปขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญสี่ประการ คือหนึ่งหลักความจริง สองคือชีวิต สามคือคริสตจักร และสี่คือพระกิตติคุณ …พระคัมภีร์ได้บอกกับเราว่าตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็คือความจริง และตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็คือชีวิต. องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสในหนังสือยอห์น 14:6 ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”. ความจริงในที่นี้ก็คือหลักความจริงนั่นเอง. พูดอีกนัยหนึ่งก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าตัวของพระองค์เองก็คือชีวิตและหลักความจริง.
หลักความจริงและชีวิตทั้งสองนี้ล้วนแต่เป็นตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอง แต่ว่าต่างก็มีเงื่อนแง่ที่แตกต่างกัน. ซึ่งข้อแตกต่างก็คือหลักความจริงเป็นการอธิบายและการชี้แจงทางภายนอก ส่วนชีวิตเป็นเนื้อหาสาระที่อยู่ภายในและเป็นเรื่องทางภายในของเรา. องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ภายในเราทรงเป็นชีวิตของเรา ซึ่งประสบการณ์เช่นนี้จำต้องมีการชี้แจงเพื่อความเข้าใจ และการชี้แจงนี้ก็คือการเรียนรู้หลักความจริงนั่นเอง ถ้าเราต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามการชี้แจงนี้ เราก็จะได้รับชีวิต ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราต้องการมีประสบการณ์แห่งชีวิตของพระเจ้า เราก็ต้องเรียนรู้จักหลักความจริง ถ้าพูดในอีกด้านหนึ่งนั้นก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นชีวิตที่ซ่อนอยู่ในหลักความจริงของพระองค์นั่นอง ดังนั้น ถ้าเราไม่มีความชัดเจน ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จักหลักความจริง เราก็ไม่อาจมีชีวิตร่วมที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราได้เลย ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องทุ่มเทเวลาอย่างเพียงพอในการเรียนรู้หลักความจริงของพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้เราคงอยู่ในที่มืด วันนี้หลักความจริงของพระองค์ล้วนแต่อยู่ในพระคัมภีร์ที่พระองค์ได้ประทานให้กับเรา. เราจำต้องตระหนักว่าพระคัมภีร์เล่มนี้ก็คือหนังสือแห่งชีวิต. การที่พระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งชีวิตก็เพราะว่าเนื้อหาทั้งหมดล้วนแต่เป็นหลักความจริง …ไม่มีคนใดที่สามารถมีชีวิตในพระองค์ได้โดยไม่รู้จักพระคัมภีร์และไม่รู้หลักความจริงในพระคัมภีร์. วันนี้ถ้าเราต้องการให้ชีวิตในร่างกายของเราได้รับความชื่นชมยินดีในพระองค์ เราก็ต้องมายังเบื้องหน้าพระคัมภีร์เพื่อจะได้รับหลักความจริงที่อยู่ในพระคัมภีร์. หลักความจริงทั้งหมดในพระคัมภีร์ล้วนแต่เป็นอาหารแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราทั้งสิ้น.
พระคัมภีร์ไม่เพียงเป็นหนังสือแห่งความรู้เล่มหนึ่งเท่านั้น ถ้าพูดตามจริงแล้วความรู้ทั้งหมดในพระคัมภีร์ก็ล้วนแต่เป็นหลักความจริง และหลักความจริงเหล่านี้ก็มีชีวิตซ่อนอยู่ข้างในด้วย. การที่เราอ่านพระคัมภีร์นั้นถ้าหากเราเอาแต่วิเคราะห์ตัวอักษร โดยที่ไม่เข้าสู่ส่วนลึกของหลักความจริงที่เป็นภายใน เราก็จะไม่ได้รับชีวิตในพระองค์เลย. ดังนั้น ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์จำต้องทะลุผ่านตัวอักษรเข้าไปข้างใน จึงจะสามารถมองเห็นหลักความจริงที่ตัวอักษรนำมาให้กับมนุษย์ได้ เมื่อมนุษย์มองเห็นหลักความจริงนี้ เขาก็จะพบกับชีวิตอย่างอัตโนมัติ.
การฟื้นฟูชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ก็คือการฟื้นฟูหลักความจริงและชีวิต …สาเหตุที่ผู้เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตที่ตกต่ำลงไปก็เป็นเพราะพวกเขาสูญเสียไปซึ่งหลักความจริงและชีวิต ผลลัพธ์ก็คือต่างก็ใช้วิธีการของตนเองอย่างมากมายและมีองค์กรที่เป็นฝ่ายโลกก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา. ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการ …องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้คริสตจักรของพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง อีกทั้งต้อนรับและรับเอาพระองค์มาเป็นชีวิตในตัวตนของเขา เนื้อหาสาระทั้งหมดในท่ามกลางคริสตจักรนั้นล้วนต้องให้พระคริสต์เป็นหลักความจริงและเป็นชีวิต จากนั้นก็เติบโตออกมาจากภายในเรา เหมือนกับสวนผลไม้แห่งหนึ่งนั้นเนื้อหาสาระของสวนผลไม้นี้ก็ต้องเป็นผลไม้ที่มีชีวิตซึ่งได้เกิดมาจากต้นไม้แต่ละต้นในสวนนี้ ในสวนผลไม้เช่นนี้เรามองไม่เห็นองค์กร และเราก็มองไม่เห็นการงานของมนุษย์เลย. สิ่งที่เรามองเห็นก็คือต้นไม้แต่ละต้นที่กำลังเติบโต และเกิดผล ซึ่งเป็นการแสดงถึงผลลัพธ์แห่งการเติบโตของชีวิต. นี่ก็คือสภาพการณ์ที่คริสตจักรในท่ามกลางการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าควรจะมี. การที่เราอยู่ในท่ามกลางคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเราไม่ควรยอมให้มีวิธีดำเนินการของมนุษย์คนใดเข้ามาครอบงำโดยเด็ดขาด แต่เราควรมีความปรารถนาดังที่อัครทูตเปาโลได้กล่าวไว้ นั่นก็คือการหล่อเลี้ยงพลไพร่ของพระเจ้าโดยการปลูกและการรดน้ำ เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้น (1คร.3:6, 9).
เราจำต้องรู้ว่าคริสตจักรนั้นไม่เหมือนกับสังคมทั่วไป และยังแตกต่างจากหน่วยงานต่างๆ ของศาสนาคริสต์ ประเด็นที่ไม่เหมือนหรือแตกต่างอยู่ที่ว่าสังคมกับหน่วยงานของศาสนาคริสต์นั้นพึ่งพาองค์กรและพึ่งพาการงานของมนุษย์ แต่ทว่าคริสตจักรพึ่งพาความสว่างของหลักความจริงและพึ่งพาชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น. หลักความจริงและชีวิตนั้นก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง.