ฮบ.1:1-2 ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร
กจ.2:42 เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน
คำสอนของอัครทูตก็คือ สิ่งที่พระเยซูได้ทรงตรัสไว้ทั้งหมดของพระองค์. พันธสัญญาใหม่ทั้งหมดก็คือคำสอนของอัครทูตที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านนั่นเอง และวันนี้พระเจ้าก็ยังทรงตรัสอยู่. เรื่องที่พระเจ้าทรงตรัสนั้นมีมากมาย. หนังสือฮีบรู 1:1-2 “กล่าวว่า “ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร...“ วันนี้พระเจ้าทรงตรัสแก่เราผ่านทางพระบุตร. พระเจ้ามิได้ตรัสแก่เราในวิธีทางอื่น แม้พระองค์ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะแต่นั่นก็คือการที่พระบุตรของพระเจ้าทรงใช้นั่นเอง…. พันธสัญญาใหม่นั้นมีลักษณะที่พิเศษจากข้อความนี้เราก็สามารถตระหนักว่า การตรัสของพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่นั้นเกิดขึ้นโดยวิธีการที่พระเยซูทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์นั่นเอง.
การบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูนั้นได้บันทึกไว้ในหนังสือกิตติคุณทั้งสี่เล่ม. พระเยซูผู้ทรงตรัสไว้ในหนังสือกิตติคุณทั้งสี่เล่มก็คือ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่แท้จริง และพระบุตรของพระเจ้าผู้นี้ก็คือตัวของพระเจ้าเอง. ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่าการตรัสขององค์พระเยซูเจ้า ก็คือการตรัสของพระเจ้า ที่อยู่ในพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นมนุษย์ในหนังสือกิตติคุณสี่เล่ม (ยน.14:10; 5:24; มธ.28:19-20). หนังสือยอห์น 14:10 กล่าวว่า “ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์.” ….เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ยน.10:30). ขณะที่พระบุตรทรงตรัสพระบิดาก็ทรงตรัสด้วย. พระบิดาทรงตรัสอยู่ภายในของพระบุตรนั้น.
การตรัสของพระบิดาไม่ได้หยุดลงในหนังสือกิตติคุณสี่เล่ม. พระองค์ยังทรงตรัสในพระบุตร ในฐานะที่ทรงเป็นพระวิญญาณโดยเหล่าอัครทูต ตั้งแต่หนังสือกิจการไปถึงหนังสือวิวรณ์ (ยน.16:12-15; วว. 2:1, 7; 1คร. 4:17; 7:17; 2 ปต. 3:15-16; วว. 1:1-2). ขณะที่พระบิดาทรงตรัสผ่านทางพระเยซูนั้น และวันหนึ่งพระองค์ก็ทรงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่ท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้น มาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย”
(ยน.16:12-15). …กรณีนี้ก็หมายความว่าหลังจากที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ไปและเสด็จสู่สวรรค์ไปแล้วพระเยซูก็ยังคงตรัสกับเราอยู่อย่างสม่ำเสมอโดยพระวิญญาณต่อไปอีก.
คำสอนของอัครทูตก็คือการสอนของพระเยซูในพันธสัญญาใหม่ อันดับแรกพระบิดาทรงตรัสผ่านทางพระเยซูผู้อยู่ในฐานะมนุษย์ จากนั้นพระบิดาตรัสผ่านพระเยซูผู้อยู่ในฐานะพระวิญญาณโดยทางเหล่าอัครทูต. วันนี้สิ่งที่เราในฐานะผู้เชื่อสามารถได้รับจากการตรัสของพระองค์ผ่านทางพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ก็คือ ความมั่นใจในความรอดที่พระองค์ทรงประทานให้, ความมั่นใจในการพิทักษ์รักษาของพระองค์ที่ทรงประทานให้, ความมั่นใจในการปกปักษ์รักษาของพระองค์, ความมั่นใจในการเลี้ยงดูของพระองค์, รวมทั้งความมั่นใจในการทรงนำที่พระเจ้าทรงนำทาง…..ผลแห่งความมั่นใจนี้จะนำพาให้ผู้เชื่อทุกคนผ่านอุปสรรคอันใหญ่หลวงของชีวิตไปได้
ท่ามกลางการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างความดีและชั่วนั้น ก่อนจะถึงวาระสุดปลายที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเหล่าผู้เชื่อในพระองค์จะต้องถูกทดสอบความเชื่อของเขาด้วยการทดลองอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่คนของพระเจ้าจะเป็นเหมือนดังทองคำที่ถลุงแล้ว “ท่านจะนั่งลงอย่างช่างหลอมและช่างถลุงเงิน และท่านจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ และถลุงเขาอย่างถลุงทองคำและถลุงเงิน จนกว่าเขาจะนำเครื่องบูชาอันถูกต้องถวายแด่พระเจ้า” มาลาคี 3 ; 3 เพื่อจะเป็นพลไพร่อันสูงค่ายิ่งของพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้ แต่ขอบคุณพระเจ้าด้วยพระสัญญาอันประเสริฐของพระองค์ เหล่าผู้เชื่อทั้งหลายจะผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงไปด้วยความเชื่ออันมั่นคง และด้วยพระคำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้น