1ยน.1:2-3 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์
ในหนังสือ 2 โครินธ์ 13:14 การสามัคคีธรรมอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนี้ ถูกเรียกว่า “ความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ” ในหนังสือกิจการ 2:42 การสามัคคีธรรมนี้ก็คือ “การสามัคคีธรรม ของพวกอัครทูต” และในหนังสือฟิลิปปี 2:1 การสามัคคีธรรมนี้ก็คือ “การมีความรักของพระวิญญาณ.” จากพระคำเหล่านี้ เรามองเห็นได้ว่า การสามัคคีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้นั้น เป็นของพระบิดา, พระบุตร, พระวิญญาณบริสุทธิ์, พวกอัครสาวก, และเหล่าผู้เชื่อทุกคน พวกเขาทุกคนล้วนมีความเกี่ยวข้องอยู่ในการสามัคคีธรรมนี้. การสามัคคีธรรมนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลมากมายดังนั้นการสามัคคีธรรมนี้จึงมีลักษณะร่วมจิตใจซึ่งกันและกัน เป็นไปไม่ได้ที่คนๆ เดียวจะมีการสามัคคีธรรมนี้ด้วยตัวเอง เพราะแม้ว่าการสามัคคีธรรมนี้จะมีหนึ่งเดียวแต่ก็มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลมากมายร่วมกัน
การสามัคคีธรรมคือ การแบ่งปันชีวิตซึ่งกันและกัน และชีวิตนั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ที่มีอยู่ภายในผู้เชื่อทุกคน ซึ่งต่างก็ได้รับเอาและมีชีวิตแห่งองค์พระเยซูคริสต์อยู่ภายใน. … ซึ่งโดยการแบ่งปันและเป็นพยานซึ่งกันและกันของผู้ชอบธรรมเหล่านี้ รวมถึงการสามัคคีธรรมของผู้เชื่อทุกคนด้วยเหตุนี้เองจึงสามารถรักษาความเป็นหนึ่งในพระคริสต์ร่วมกันไว้ได้
หนังสือ 1 ยอห์น 1:2-3 และข้อ 6-7 เปิดเผยว่าการสามัคคีธรรมของชีวิตที่อยู่ในพระเจ้านั้น มีอยู่ 2 ด้านด้วยกันคือ. การสามัคคีธรรมที่ชี้ตรงไปถึงการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ. ส่วนการสามัคคีธรรมอีกด้านหนึ่งจะชี้ตรงไปยังการสามัคคีธรรมระหว่างธรรมิกชนกับผู้อื่น.
ถ้าพิจารณาตามหนังสือ 1 ยอห์น 1:2-3 การสามัคคีธรรมที่ตรงต่อพระเจ้านั้นเป็นจุดเริ่มของการสามัคคีธรรมอื่นใด ซึ่งในตอนเริ่มแรกนั้นเหล่าอัครสาวกได้ประกาศชีวิตที่นิรันดร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่บรรดาคนบาปทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้มีการสามัคคีธรรมร่วมกับอัครสาวก…. และก่อนที่อัครสาวกจะประกาศชีวิตที่นิรันดร์นี้ได้ เหล่าอัครสาวกเองก็ได้มีการสามัคคีธรรมอย่างเข้าสนิท และตรงไปยังพระบิดาและกับพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์อยู่อย่างแน่นแฟ้นอยู่ก่อนแล้ว (ข้อ 3). ประสบการณ์เริ่มแรกของอัครสาวกและผู้เชื่อทุกคนควรมีจุดเริ่มต้นอยูที่พระเจ้า และเมื่ออัครสาวกหรือผู้เชื่อได้มีประสบการณ์ชีวิตนิรันดร์นี้แล้ว พวกเขาจึงจะสามารถนำข่าวประเสริฐนี้ไปประกาศแก่ผู้อื่นให้มีประสบการณ์ กับการสามัคคีธรรมร่วมกันได้เป็นอันดับต่อไป
หนังสือ 1 ยอห์น 1:6-7 บ่งชี้ถึงการสามัคคีธรรมที่มีโดยตรงต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์ ในข้อ 6 กล่าวว่า “ถ้าเราจะว่าเราร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์และยังดำเนินอยู่ในความมืด เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง.” กรณีนี้ก็คือ การสามัคคีธรรมที่มีโดยตรงต่อพระเจ้า. และในข้อ 7 กล่าวว่า “แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น.” กรณีนี้ก็คือ การสามัคคีธรรมร่วมกับบุคคลอื่น การสามัคคีธรรมทั้งสองด้านนี้ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะกล่าวว่าด้านใดมาก่อน ถ้าท่านไม่มีการสามัคคีธรรมที่ถูกต้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นการยากที่จะมีการสามัคคีธรรมกับผู้ที่เป็นผู้เชื่อเหมือนกับท่านได้ ในทำนองเดียวกันถ้าท่านไม่มีการสามัคคีธรรมที่ถูกต้องกับผู้ที่เป็นผู้เชื่อเหมือนกับท่าน ก็เป็นการยากที่จะมีการสามัคคีธรรมที่ถูกต้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ดุจกัน
การสามัคคีธรรมไม่อาจมีเพียงด้านเดียว ท่านไม่อาจมีการสามัคคีธรรมต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยปราศจากการสามัคคีธรรมร่วมกับบุคคลอื่น ถ้าท่านมีการสามัคคีธรรมที่มุ่งตรงไปสู่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่มั่นคงแน่นแฟ้น ท่านก็จะมีความกระตือรือร้นที่จะพบปะกับ
วิสุทธิชนคนอื่นเพื่อที่จะมีการสามัคคีธรรมร่วมกับพวกเขา เมื่อท่านมีการสามัคคีธรรมร่วมกับวิสุทธิชนโดยการอธิษฐาน ท่านก็จะถูกนำเข้าสู่การสามัคคีธรรมที่มั่นคงกับองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน การสามัคคีธรรมของท่านกับวิสุทธิชนทั้งหลายจะนำท่านเข้าสู่การสามัคคีธรรมร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า จากนั้นการสามัคคีธรรมของท่านกับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะนำท่านเข้าสู่การสามัคคีธรรมร่วมวิสุทธิชนทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ทั้งสองด้านนี้จึงสานทอและผูกพันกันอยู่เสมอนั่นคือการสามัคคีธรรมที่ตรงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและการสามัคคีธรรมร่วมกับวิสุทธิชนผู้เชื่ออื่นๆ ต่างก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและผูกพันกันอยู่เสมอ.
ท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าก็ผูกพันเราเข้าในการสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์และวิสุทธิชน. การผูกพันนี้ก็คือการผสมผสานกันระหว่างพระเจ้ากับเหล่าผู้เชื่อ การประชุมทุกอย่างควรจะเป็นการสามัคคีธรรมที่ผูกพันด้วยกันทั้งต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้เชื่อทั้งหลาย ตัวอย่างเช่นชีวิตสมรสของเราควรจะเป็นการสามัคคีธรรมที่ผูกพันกันอย่างหนึ่ง สามีและภรรยาไม่เพียงแต่ผูกพันต่อกันและกันเท่านั้น แต่ยังต้องผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย การแต่งงานของคริสเตียนที่แท้จริงควรจะมีความคล้ายคลึงกับการสามัคคีธรรม การร่วมประสานและการงานของเราก็ควรเป็นการสามัคคีธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน