ยอห์น 8 ; 4 – 7 เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้” เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน”
ยากอบ 3 : 11 – 13 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลยในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้านั้นจะเป็นผู้ที่มีจิตใจที่สูงกว่าบุคคลทั่วไปเพราะเขาเหล่านั้นซาบซึ้งต่อความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเขา ประสบการณ์แห่งความรอดที่พระเยซูได้ทรงประทานให้ในชีวิตของเขานั้น ทำให้ชีวิตที่เป็นตัวตนของเขาจบสิ้นลงเขาจะไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้นอีกต่อไป แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าและปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ คำ ๆ นี้อาจจะฟังดูเข้าใจยากแต่ในความเป็นจริงแล้ว การปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์นั้นมิใช่เพื่อประโยชน์ของพระเจ้า แต่ทุกสิ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชีวิตของเรานั่นเอง
ประสบการณ์แห่งความรอดที่ได้รับจากพระเยซูนั้นจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ, ท่าที, และพฤติกรรมของผู้เชื่อให้ต่างไปจากที่เคยเป็นอย่างสิ้นเชิง พระเยซูทรงตรัสว่า “จงรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดความคิด และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” มัทธิว 22 : 38 – 39 พระองค์ทรงเน้นให้มนุษย์ได้เห็นว่า ชีวิตของผู้เชื่อในพระเจ้านั้นคือชีวิตที่ไม่ได้ยึดติดอยู่ที่ความต้องการของตนเองเป็นหลัก แต่เป็นชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่นและมีความปรารถนาดีต่อบุคคลอื่นเสมอ ความรักนั้นคือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้และกระทำให้กับคนอื่น โดยที่พระเยซูทรงกระทำเป็นตัวอย่างในชีวิตของพระองค์เอง
ฟาริสีเป็นตัวอย่างชีวิตที่อยู่ในกฎระเบียบแบบแผนที่เข้มงวด จนลืมนึกถึงจิตใจของบุคคลรอบข้าง การมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าไม่อาจจะกระทำได้ถ้าชีวิตนั้นมิได้เป็นชีวิตที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ท่ามกลางโลกแห่งความผิดบาปการมีชีวิตที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ทำให้ถูกมองดูเหมือนว่าเป็นคนอ่อนแอไม่กล้าต่อสู้หรือเป็นคนขลาดกลัว แต่ในทางตรงกันข้ามพระเยซูได้สำแดงให้เห็นแล้วว่าชีวิตที่แสดงออกถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั้นมิใช่ชีวิตที่ขลาดกลัว แต่กลับเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความอดทนที่จะต่อสู้กับความยากลำบากในสงครามแห่งความดีและความชั่วนี้อย่างสูงยิ่ง
ตั้งแต่แรกเริ่มพระเจ้าได้ทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ได้ครอบครองสรรพสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ อันที่จริงก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง แต่ทว่าการครอบครองสรรพสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ มิใช่เป็นการครอบครองโดยความเห็นแก่ตัว หรือ การกดขี่เอาเปรียบ แต่จะต้องเป็นการครอบครองด้วยความ “เห็นอกเห็นใจ, และด้วยความรัก” เพราะสิ่งต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา และประทานให้กับมนุษย์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้พระเจ้าได้มอบหมายให้บางคนในโลกนี้มี “อำนาจในการปกครอง” เพื่อสำแดงถึงพระคุณความรักของพระเจ้า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ” โรม 3 : 1 – 2
แต่ขณะเดียวกันพระเจ้ายังทรงกำชับให้ผู้ที่มีอำนาจนั้นรู้จัก “ผ่อนหนักผ่อนเบา” เพื่อเห็นแก่พระคุณของพระองค์ เพราะเหล่าผู้เชื่อหรือเพื่อนบ้านนั้นมิใช่ ทาส หรือผู้รับใช้อีกต่อไป แต่เขาเป็น “พี่น้อง” ในพระคริสต์ร่วมกัน “ฝ่ายนายก็จงทำแก่เหล่าทาสของตนตามความยุติธรรมและสม่ำเสมอกัน เพราะท่านรู้ว่าท่านก็มีนายองค์หนึ่งในสวรรค์ด้วย” โคโลสี 4 : 1 การปกครองด้วยความรัก, ความสุภาพอ่อนน้อม และการเห็นอกเห็นใจกันนั้นเป็นพระพรที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ที่กระทำอย่างแท้จริง โดยที่ ประการแรก บุคคลนั้นจะเป็นที่รักของคนทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างและได้สัมผัสด้วย ประการที่สอง บุคคลนั้นจะเป็นแบบอย่างให้กับคนที่รู้จักเพื่อจะสะท้อนไปถึงพระสิริของพระเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของเขา ประการที่สาม ความสุภาพและการเห็นอกเห็นใจคนอื่น จะทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยมิตรคอยช่วยเหลือปกป้อง ประการที่สี่ ความรักและความสุภาพจะเป็นเหมือนกำแพงที่จะป้องกันชีวิตของเขาและครอบครัวให้พ้นจากภัยอันตรายที่มีในชีวิตนี้ทั้งของตนเองและครอบครัว
โดยสรุปชีวิตแห่งความรักและความอ่อนสุภาพนั้น เป็นชีวิตของผู้เชื่อที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าแล้ว เป็นชีวิตที่บังเกิดใหม่ในพระคุณของพระเจ้า เป็นชีวิตที่มีมุมมองใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม เป็นชีวิตที่ตอบสนองต่อความพระคุณของพระเจ้าที่ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว เป็นชีวิตที่เหมือนดังแม่เหล็กที่ดึงดูดให้คนทั้งหลายปรารถนาที่จะเข้าใกล้ มีความสงบเย็นและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งชีวิตลักษณะนี้ตรงกันข้ามกับชีวิตฝ่ายเนื้อหนังอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวิธีการเดียวที่จะได้รับมาซึ่งชีวิตในลักษณะนี้ก็คือ “การยอม” ให้พระเจ้าได้กระทำการในชีวิตของผู้เชื่อเท่านั้น แล้วสิ่งที่เป็นผลแห่งความรักนี้จะบังเกิดขึ้นตามมา