พ่อแม่ที่ดูแลเลี้ยงดูลูกในวัยอนุบาล มีความจำเป็นต้องเข้าใจ ถึง ธรรมชาติของเด็กในวัยนี้ ก่อนว่าเป็นอย่างไร คือ ด้านร่างกาย ด้านความคิด-จิตใจและอารมณ์ ด้านการเข้าสังคม และด้านจิตวิญญาณเพื่อจะ สามารถช่วยให้เด็กมีความสุข และพัฒนาเด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อช่วยส่งเสริมให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต ทีนี้ เรามาพิจารณาดูว่า ลักษณะธรรมชาติพิเศษของเด็กในวัยนี้ เป็นอย่างไรบ้าง
– เด็กในวัยอนุบาลนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่แคล่วคล่องว่องไว และมักจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่จะต้องเข้าใจเด็กว่า นี่คือธรรมชาติของเขา เพราะพ่อแม่บางคนอาจคิดว่า ลูกของตนเองซน อยู่ไม่ค่อยสุข แต่ความจริงแล้ว เด็กกำลังตื่นเต้นและฝึกประสบการณ์ในการเดิน การวิ่งและการเล่นสิ่งต่างๆ
– เด็กวัยนี้จะชอบถือของเล่นติดมือและเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการเล่น แต่กล้ามเนื้อมือยังไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร พ่อแม่จึงควรจัดหาของเล่นที่เหมาะสม ไม่อันตรายและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเด็ก
– เด็กในวัยอนุบาลนี้ เริ่มมีความรู้สึกชอบดนตรี ซึ่งโดยมาก มักจะชอบเครื่องเคาะจังหวะดนตรีเร็วๆทุกชนิด และเป็นวัยที่ชอบเลียนแบบ ทั้งการเต้นและการร้องเพลงตาม
– เด็กในวัยอนุบาลเป็นวัยช่างคิดช่างฝัน แต่จะไม่รู้ว่า อะไรคือความจริงและอะไรคือความฝัน บางเรื่องที่พ่อแม่ หรือ ผู้ใหญ่คนอื่นๆ บอกแก่เด็กหรือเล่านิทานให้เด็กฟังนั้น เด็กจะแยกไม่ออกว่า เรื่องใดจริง เรื่องใดไม่จริง เพราะบางเรื่องเกิดจากความฝันหรือจินตนาการ ดังนั้น พ่อแม่ควรอธิบายให้เด็กรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อ เด็กจะได้ไม่เข้าใจผิดหรืออาจมีความกลัวเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นผลเสียแก่จิตใจและอารมณ์ของเด็กเอง
– เด็กวัยอนุบาลมักชอบฟังเรื่องซ้ำๆ เพราะอยากเป็นคนเก่ง ที่รู้ตอนจบของเรื่อง เด็กวัยนี้มีความสนใจสั้นๆเพียง 5-10 นาที ดังนั้น พ่อแม่ต้องเข้าใจเด็ก เพื่อจะไม่รู้สึกหงุดหงิดเด็ก เมื่อเด็กขอให้เล่าเรื่องนั้นๆซ้ำอีก และพ่อแม่ก็ไม่ควรเล่าเรื่องหรือสอนเด็กยาวนานเกินไป
– เด็กวัยอนุบาลจะรู้คำศัพท์จำกัด มักจะพูดประโยคง่ายๆที่เกี่ยวกับตนเอง อยากรู้อยากเห็น ชอบถาม ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา พ่อแม่จึงควรตอบคำถามของเด็กด้วยความรู้สึกยินดีและเต็มใจ พ่อแม่ต้องไม่แสดงอาการรู้สึกรำคาญ หรือ ดุต่อว่าเด็ก เด็ดขาด เมื่อเด็กถามคำถาม แม้ว่าจะเป็นคำถามที่ผู้ใหญ่ไม่อยากตอบหรือเป็นเรื่องที่เด็กไม่ควรถามก็ตามเพราะจะเป็นผลเสียต่อจิตใจของเด็กและการเรียนรู้ของเด็ก
– เด็กวัยนี้ มักจะมีความกลัวและตกใจง่าย มักจะกลัวความมืด กลัวคนแปลกหน้า รวมทั้ง กลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือ แม้กระทั้งกลัวคำขู่จากผู้ใหญ่ ดังนั้น ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่จะขู่
ในเรื่องที่เด็กกลัว ซึ่งพ่อแม่บางคนชอบขู่เด็กเพื่อจะเอาชนะเด็กเมื่อเด็กไม่ทำตามคำสั่งหรือดื้อกับพ่อแม่
สิ่งนี้ก็จะเป็นผลเสียที่กระทบต่อจิตใจและอารมณ์ของเด็ก
- เด็กวัยนี้เริ่มสนใจที่จะมีกลุ่มเพื่อน ชอบเล่นสนุกกับเพื่อนๆที่เป็นเด็กในวัยใกล้เคียงกัน
- มักขี้อาย โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักหรือคนแปลกหน้าที่มาทักทาย
- ชอบให้พ่อแม่และ ครูสนใจในตัวเขา วัยนี้เด็กจะเริ่มเรียกร้องให้พ่อแม่หรือครูสนใจในตัวเขา
- โต้ตอบต่อความรักที่ครูให้อย่างรวดเร็ว เด็กจะสัมผัสถึงความรักที่ครูแสดงออกและสนใจตัวเขา
ซึ่งเด็กบางคนจะรักครูและเชื่อฟังครูมากกว่าเชื่อฟังพ่อแม่เสียอีก ซึ่งเรื่องนี้พ่อแม่ไม่ควรละเลยการแสดงความรักต่อลูกของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
- สนใจชอบช่วยเหลือ เด็กวัยนี้บางครั้งจะแสดงออกถึงการชอบช่วยเหลือเพื่อนๆหรือพ่อแม่ เช่น
อยากช่วยพ่อแม่ล้างจานหรือช่วยรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น
- เริ่มโกหก เพราะลืมหรือกลัวถูกลงโทษ เรื่องนี้พ่อแม่มักรู้อยู่แก่ใจดี ต้องพยายามค่อยๆฝึกและปรับพฤติกรรมของเด็ก แต่ต้องสอนเด็กด้วยว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ดี และอย่าลงโทษเด็กรุนแรงเกินกว่าเหตุ พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า นี่คือ ธรรมชาติบาปที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้มีทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นเด็กเล็กๆ ก็ยังรู้จักการโกหกแล้ว
- เชื่อคนง่าย เด็กวัยนี้มักจะถูกหลอกง่าย ไม่ว่าจะหลอกเรื่อง การกลัวผี หรือหลอกให้ทำอะไรเพื่อจะสนอง ทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นวัยที่เชื่อคนง่ายนั่นเอง พ่อแม่จึงควรระมัดระวังลูกของตนไม่ให้คนอื่นมาหลอก และพ่อแม่ก็ไม่ควรหลอกลูกของตนเองด้วย เพราะ
จะกระทบต่อความเชื่อและจิตวิญญาณของเด็กเอง
- เด็กวัยนี้ สามารถเข้าใจได้ว่าการอธิษฐาน คือ การพูดกับพระเจ้า พ่อแม่จึงต้องวางพื้นฐานด้าน
ความเชื่อแก่เด็กอย่างเหมาะสม ให้เด็กได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ และมีความเข้าใจ
อย่างถูกต้อง
การที่พ่อแม่และครูจะสอนและฝึกอบรมเด็กในวัยอนุบาล ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่สามารถจับเด็กมานั่งเฉยๆเพื่อฟังคำพูดคำสอนเหมือนเด็กโตได้ เพราะเด็กวัยนี้มีความสนใจสั้นและชอบเล่น พวกเขาจะเรียนรู้ผ่านการเล่น
เมื่อพ่อแม่หรือครู มีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของเด็กทั้ง 4 ด้านอย่างดีแล้ว ก็จะสามารถช่วยพัฒนา ส่งเสริมและสอนเด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อจะช่วยให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างอบอุ่นและมีความสุข ทำให้เด็กสามารถเห็น คุณค่าของตนเอง มีชีวิตที่สมดุลและเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์