โกรธกันได้ไหม
ความโกรธปิดกั้นการสื่อสารได้อ่างไร
- ความโกรธคืออะไร
- ทำไมคนเราจึงมีอารมณ์โกรธ
- พระคัมภีร์พูดถึงความโกรธไว้อย่าไร
- ปฏิกิริยาทั่วไปกับความโกรธ
- คุณจะตอบสนองความโกรธอย่างไร และเปลี่ยนท่าทีจากความโกรธนั้นได้อย่างไร
คู่สมรสต้องการสื่อสารกัน โดยเฉพาะในเวลาโกรธยิ่งต้องการเป็นพิเศษ แต่มันมักเป็นชนวนสำคัญที่บ่อนทำลายการสื่อสารในชีวิตสมรส
ความโกรธในด้านบวกและลบ
ส่วนใหญ่เราอาจมองความโกรธในแง่ลบ แต่แท้จริงมันก็มีด้านดีซ่อนอยู่เช่นกัน เช่นเวลามีอะไรมาขัดขวางเป้าหมายที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ความอัดอั้นตันใจจะทำให้เราโกรธ อารมณ์โกรธกระตุ้นให้เราทำสิ่งซึงปกติแล้วทำไม่ได้ เพื่อความอยู่รอดของเราเอง เหมือนดั่งเช่นสุนัขจนตรอก
“จงให้ความยุติธรรมหลั่งลงมาอย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์ “ พระธรรม อาโมส 5.24 ส่วนมากพวกเราหวังเห็นความยุติธรรมและความชอบธรรมในสังคม แต่เมื่อไม่เป็นไปตามนั้นเราก็โกรธ โมโห ซึ่งเป็นสิ่งดี เมื่อคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือผจญกับความทุกข์ยากนั้น จะกระตุ้นให้เราเข้าไปแก้ไข
แต่ความโกรธไม่ได้น่าชื่นชมอย่างนี้เสมอไป หลายครั้งเราโกรธเพราะห่วงตังเอง เห็นแก่ตัว อยากตามใจตนเอง เมื่อคู่สมรสไม่เห็นดีด้วยก็โกรธ
“กลับบ้านต่างจังหวัดปีใหม่นี้ผมจองตั๋วรถไฟนะ”
“คุณก็รู้ว่ารถไฟที่นั่งปรับเอนนอนไม่ได้ ฉันชอบรถทัวร์”
“รถทัวร์น่าเบื่อ เดินไปดินมาไม่ได้ รำคาญจะตาย”
“คุณจะเดินหรือนั่งรถเพื่อให้ถึงบ้านคุณ”
ความขัดแย้งเพิ่มพูนขึ้นเนื่องจากรู้สึกขุ่นเคืองที่ไม่ได้ดั่งใจตน เป้าหมายอยากได้หรือทำตามใจชอบ เมื่อไม่สมใจก็โกรธ ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับคู่สมรสตึงเครียดขึ้น
พระคัมภีร์พูดถึงความโกรธไว้อย่างไร
อฟ. 4.31 “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคืองและใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างห่างไกลจากท่านเถิด” ข้อนี้หมายถึงความโกรธที่อารมณ์คุกกรุ่นและเดือดดาล คริสเตียนจะต้องละทิ้งนิสัยมักโกรธแบบฝังใจ รวมทั้งความโกรธที่อยากแก้แค้นนั้นเสีย
“แต่บัดนี้สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบโลน” ค ส. 3.8
นอกจานั้นพระคัมภีร์ยังห้ามเราไม่ให้ยั่วโทสะคนอื่นด้วย ความพิโรธ
“ฝ่ายบิดาก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ” ค ส.3.21
“บุคคลที่โกรธช้าก็ดีกว่าคนที่มีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้“
ส ภ ษ. 16.32
“อย่าเป็นมิตรกับคนที่มักโกรธ หรือไปกับคนขี้โมโห เกรงว่าเจ้าจะเรียนรู้ทางของเขา และพัวพันตัวเจ้าเข้าไปในบ่วง” ส ภ ษ.22.24-25
“คนใจร้อนเร้าการวิวาทแต่บุคคลที่โกรธช้าก็ระงับการชิงดี“ ส ภ ษ 15.8
อ. เปาโลพูดว่า “จะโกรธก็โกรธได้แต่อย่าทำบาป “ พูดถึงความโกรธที่มีต่อความบาปและความไม่ยุติธรรม ในกรณีนี้ผู้โกรธรู้ว่าตัวเองโกรธและสามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ โกรธในสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะพระเจ้าสร้างเราให้ให้มีอารมณ์ความรู้สึก แต่อย่าทำบาปเป็นตัวยับยั้งช่วยไม่ให้มันมากเกินขอบเขต
“อย่าให้ตะวันตกดิน ท่านยังโกรธอยู่“ ความโกรธในทางไม่ถูกไม่ควร ซึ่งทำให้หงุดหงิด ขมขื่นใจ กระวนกระวายจนนอนไม่หลับ เราต้องกำจัดมันไปโดยเร็วก่อนตะวันตกดิน มิฉะนั้นมันจะครองใจเราเป็นผลร้าย ไม่มีความสุข ขาดเพื่อนและสุขภาพจะทรุดโทรมลงด้วย
1 โปรดทบทวนข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับความโกรธที่ยกมาอีกครั้ง แล้วลองบรรยายว่าคุณมักมีความโกรธแบบ ไหน โดยปกติคุณแสดงความโกรธออกมาอย่างไร
2. อธิบายว่าคู่สมรสคุณมีความโกรธแบบไหน โดยปกติเขาและคุณแสดงความโกรธออกมาอย่างไร
3. ทำอย่างไรท่านจึงจะ “ช้าในการโกรธ” อธิบายว่า “โกรธแต่ไม่ทำบาป” นั้นเป็นอย่างไร
ปฏิกิริยาต่อความโกรธ ความโกรธของคู่สมรสสรุปแล้วมีปฏิกิริยาอย่างน้อย 4 อย่าง
- สะกดกั้นความโกรธ ระงับหรือเก็บความรู้สึก รู้ตัวว่าโกรธแต่พยายามควบคุมไม่ให้มันออกมาทางกิริยาหรือวาจา พระคัมภีร์สุภาษิต 29.11 “คนโง่ย่อมให้ความโกรธพุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้อย่างเงียบ ๆ” ยากอบ 1.19 “จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” คือฟังด้วยความตั้งใจ คิดไตร่ตรองตามอย่างถี่ถ้วนก่อนตอบออกไป อย่าพูดในขณะที่โกรธแต่รอใจให้สงบก่อน
หันมาพิจารณาความโกรธของคุณนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความโกรธนั้นจำต้องระบายออกมาในทางถูกต้องเหมาะสม หากเก็บไว้จนสุดขีด มันจะระเบิดออกมาไม่เลือกเวลาและสถานที่
- แสดงความโกรธออกมาทันที
ปฏิกิริยาตรงข้ามกับการเก็บความโกรธไว้คือ การโวยวายแสดงความโกรธออกมา ตะโกน ใช้ถ้อยคำเผ็ดร้อนหรือหยาบคาย มันจะช่วยผ่อนคลายได้บ้าง แต่ไม่ค่อยสวย สภษ. 14.29 บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่“
มิได้ห้ามแสดงความโกรธเสียเลย บางคนระบายความโกรธโดยหันเหไปทำอย่างอื่นแทน เช่นซักผ้าถูบ้า ตัดหญ้า หรือถีบจักรยาน บางคนได้นั่งลงอธิษฐานหรือเขียนบรรยายความรู้สีกจะช่วยสงบสติอารมณ์โกรธได้
- ยอมรับว่าโกรธ คริสเตียนหลายคนชอบปฏิเสธว่าไม่ได้โกรธ ทั้งที่โกรธอยู่เต็มอก เพราะเรารู้สึกว่าเมื่อรู้จักพระคริสต์แล้วไม่ควรจะโกรธ ฉะนั้นเมื่ออารมณ์พลุ่งขึ้นจึงพยายามมองข้ามและปฏิเสธมันเสีย แท้จริงไม่ได้สอนว่าโกรธไม่ได้ แต่ให้เรารู้จักวิธีที่จะควบคุมมัน พลังความโกรธที่ถูกต้องมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดลใจให้เกิดความโกรธอย่างชอบธรรม มีใจร้อนรน ไม่ได้สร้างบุคลิกที่เฉื่อยชาหรือขาดความสนใจ
การหนีจากความโกรธและปฏิเสธมัน จะทำให้สุขภาพจิตเสีย เหมือนเอาถังซึ่งเต็มด้วยเศษขยะใส่ไว้ใสตู้จุดไฟเผา แล้วปิดลั่นกุญแจไว้ จริงอยู่ไฟจะไหม้กระดาษในตู้ แต่อาจลุกลามไหม้ทั้งบ้าน ที่จริงแล้วโรคกระเพาะ ความกระวนกระวาย ปวดหัว ความหดหู่ มองโลกแง่ร้าย ชอบติเตียน กล่าวโทษคนอื่น หงุดหงิดง่าย ล้วนเป็นผลจากการปฏิเสธว่าไม่ได้โกรธทั้งสิ้น
ความโกรธมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะพระเจ้าก็โกรธในสิ่งที่ผิด “พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง รม.1.18 มก.3.5 พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์เพราะใจเขากระด้างนัก และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด เขาก็เหยียดออกและมือเขาก็หายเป็นปกติ”
ถ้าไม่ยอมรับว่าตนเองโกรธและพยายามมองข้ามไป ยิ่งจะส่งผลร้ายหนัก การโกรธไม่ถือว่าเป็นบาปเสมอไป แต่การปฏิเสธว่าไม่โกรธทั้งที่โกรธอยู่นั้นถือว่าบาป การปฏิเสธว่าไม่โกรธเป็นวิธีตอบโต้ที่ไม่สมควรทำ
- ยอมรับว่าโกรธ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองโกรธ บางคนก็บอกตรง ๆ ก่อนที่จะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกเขาต่อไปอีกได้ คุณอาจพูดว่า “รู้ไหม การปรึกษากันอย่างนี้ทำให้ฉันชักหงุดหงิดแล้ว ฉันไม่อยากโกรธและรู้ว่าคุณไม่ต้องการให้ฉันโกรธด้วย เราควรพักการหารือไว้ก่อน เมื่อฉันควบคุมอารมณ์ได้แล้วค่อยพูดกันต่อ หรืออาจพูดว่า “ขอโทษนะ ฉันรู้สึกโกรธ ฉันควรทำอย่างไรเพื่อยุติปัญหานี้ สิ่งสำคัญคือจงเรียนรู้ที่จะบอกอีกฝ่ายหนึ่งถึงความโกรธของคุณโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกได้ก่อนว่าคุณโกรธ
เดวิด ออกส์เบอร์เกอร์ แนะนำดังนี้ ความโกรธเป็นธรรมชาติที่ทุกคนมี โกรธได้แต่ต้องตระหนักว่าคุณตกอยู่ในสภาวะอันตรายอย่างยิ่ง คุณจะขาดความสามารถควบคุมตนเอง ไร้เหตุผลและสำนึกที่ดี มันจะเปลี่ยนเป็นความขมขื่น ความเคียดแค้น เกลียดชัง คิดร้ายรุนแรงถ้าไม่ควบคุมด้วยความรัก โกรธก็โกรธเถอะแต่จงมีความเมตตา มีแรงจูงใจมาจากความรักต่อพี่น้องและต่อพระเจ้า เป็นการสร้างสรรค์ จงนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเปลี่ยนจากท่าทีจากการแก้ตัวอย่างเห็นแก่ตัวมาเป็นความเมตตาคนอื่น