บ้านนั้นเป็นสมบัติของทุกคนในครอบครัว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บ้านเป็นอาณาจักรของพ่อ เป็นโลกของแม่ และเป็นสวรรค์ของลูกๆ ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจึงมีส่วนในการเป็นเจ้าของ ทุกคนมีส่วนที่จะสร้างบ้านให้เป็นสวรรค์ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ จะคิดว่า ธุระไม่ใช่ เป็นเรื่องของพ่อแม่เท่านั้น แน่นอนที่สุด บ้านที่ควรจะเป็นบ้านก็จะเกิดขึ้น ถ้าหากพ่อแม่และลูกๆมีความรู้สึกว่า นี่เป็นบ้านของเรา ทุกคนก็จะช่วยกันดูแลบ้านให้สวยงาม สะอาด น่าอยู่ และมั่นคงปลอดภัย ไม่ใช่เป็นเหมือนอย่างกับคนทำสวนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน เวลาทำสวนหรือรดน้ำต้นไม้ก็จะทำไปโดยหน้าที่ให้เสร็จๆไป ซึ่งต่างจากเจ้าของบ้านที่จะดูแลรักษาเป็นอย่างดีเพราะเป็นผู้ลงทุนชื้อต้นไม้มา ความรู้สึกเช่นนี้ ช่วยให้เราทุกคนมีส่วนร่วมอย่างจริงจังเพราะเป็นเจ้าของบ้านร่วมกัน
หลายครอบครัว บ้านไม่ได้เป็นสวรรค์ ไม่มีความสุข ก็เพราะผู้เป็นพ่อไม่มีความรู้สึกว่า เป็นอาณาจักรของเขา เขาไม่ได้เป็นหัวหน้าของบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว บ้านเป็นอาณาจักรของพ่อ พ่อหลายคนมีความรู้สึกว่า บ้านไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของภรรยา เพราะเขามาแต่ตัว ก็ต้องไปแต่ตัว อันนี้ถูกภรรยากรอกหู เวลาทะเลาะกับภรรยาหรือทะเลาะกับพ่อตาแม่ยาย จนพ่อบ้านมีความรู้สึกว่า บ้านนี้ไม่ใช่ของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรับผิดชอบก็ไม่มี ความรู้สึกภูมิใจก็ไม่ตามมาและการที่จะทำบ้านให้เป็นสวรรค์ อยากอยู่บ้าน รักบ้านมันก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้น คุณผู้หญิงที่เป็นภรรยาที่พ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้มาก และมีบ้านเป็นของตัวเอง เมื่อท่านมีสามี และตัดสินใจรักเขา อยู่ร่วมชีวิตกับเขาแล้ว ก็ไม่ควรยึดถือหรือคำนึงถึงทรัพย์สินภายนอกกาย แต่ควรคำนึงถึงทรัพย์สินภายในกาย คือ ความดี ความมีน้ำใจ ความเข้าใจ และความรักที่จริงใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ท่านตัดสินใจแต่งงาน และพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ยินยอม เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ควรสร้างความรู้สึกว่า บ้านนี้เป็นเจ้าของร่วมกันแม้ว่ามันเป็นมรดกจากบิดามารดาก็ตาม บ้านจะเป็นที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขของทุกๆคน
สามีและภรรยาต้องมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่านี่เป็นบ้านของเรา เพื่อพ่อแม่และลูกๆทุกคนจะมีส่วนทำบ้านให้กลายเป็นเหมือนสวรรค์สำหรับทุกคน ในแง่มุมหนึ่ง พ่อบ้านจะต้องมีความรู้สึกว่า บ้านนี้เป็นอาณาจักรของเขา เขาเป็นหัวหน้าของครอบครัว เพื่อจะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ
ในทำนองเดียวกัน สามีที่เป็นพ่อบ้าน ต้องไม่พูดกับภรรยาว่า ที่มีบ้านดีๆอยู่ทุกวันนี้เพราะใคร ไม่ใช่เพราะฉันหามาหรือ ถึงแม้ว่าบ้านที่ภรรยาเข้ามาอาศัยอยู่นี้ สามีเคยเป็นเจ้าของมาก่อนก็ตามเพราะถ้าสามีพูดเช่นนี้บ่อยๆก็จะกระทบต่อความรู้สึกทางจิตใจของภรรยาเป็นอย่างมาก เพราะภรรยาจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจว่า บ้านนี้เป็นโลกของเธอ เธอก็จะไม่รู้สึกถึง การมีส่วนร่วมในบ้านนี้เลย ผลที่สุด เธออาจจะรู้สึกน้อยใจและปล่อยปละละเลยบ้านก็ได้ ……..
การแต่งงานหรือการใช้ชีวิตคู่นั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีคำกล่าวไว้ว่า การแต่งงานนั้นไม่ยาก แต่ การใช้ชีวิตแต่งงานยากกว่า และการใช้ชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขนั้นยากที่สุด อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตแต่งงานจะไม่ยากเลย หากท่านที่เป็นคู่สามีภรรยามีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าโดยให้พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางของครอบครัวหรือชีวิตคู่ของท่าน เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก และพระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งสถาบันครอบครัวขึ้นโดยทรงผูกพันชายและหญิงทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียวกันหรือเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้พันธสัญญานิรันดร์ของพระองค์ซึ่งจะแยกออกจากกันอีกไม่ได้ ยกเว้นความตายจะมาพรากเขาทั้งสองออกจากกัน การผูกพันในความหมายนี้ ลึกซึ้งมาก แสดงถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็นเจ้าของร่วมกันในชีวิตของกันและกัน
ดังนั้น สามีต้องไม่พูดหรือสร้างความรู้สึกว่า ตนเองเป็นเจ้าของบ้านเพียงคนเดียว ส่วนภรรยาเป็นเพียงผู้อาศัย เพราะจะทำให้ภรรยาเกิดความรู้สึกน้อยใจและไม่มีความรู้สึกมีส่วนร่วมในบ้านนั้น แต่สามีต้องให้ความมั่นใจ และสร้างความรู้สึกในใจของภรรยาว่า เธอเป็นเจ้าของบ้านร่วมกับสามี นี่คือบ้านที่เป็นโลกของเธอ บ้านจะสวยงาม มีความสะอาด น่าอยู่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเธอ สิ่งนี้จะทำให้ภรรยาเกิดความรู้สึกภูมิใจ เธอก็จะดูแลบ้านเรือนให้เรียบร้อยตกแต่งบ้านและทำบ้านให้สวยงาม น่าอยู่ น่าอาศัยเสมอ สำหรับทุกๆคนในครอบครัว
บ้านต้องเป็นอาณาจักรของพ่อ(สามี) สถานะของพ่อ ต้องเป็นหัวหน้าของทุกคนในครอบครัวหรือในบ้านพ่อ คือ ผู้นำของครอบครัว เป็นผู้ปกครอง และ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลชีวิตของทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนหรือมีภูมิหลังอย่างไร เราจะต้องให้เกียรติและให้ความเคารพนับถือเขา ถึงแม้ว่าภรรยาบางคนอาจจะฉลาดกว่าสามีก็ตาม ทุกคนต้องการการให้กำลังใจด้วยกันทั้งนั้น ควรจะให้เขามีความรู้สึกว่า บ้าน/ครอบครัวเป็นที่ๆเขาจะต้องรับผิดชอบ และระมัดระวังในการดำเนินชีวิต แต่ก็อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า “แล้วพ่อบ้านที่ไม่เอาไหนล่ะ เช้ากินเหล้า เย็นก็กินเหล้า กลางวันหายหน้าไปไหนไม่รู้ จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้อย่างไร ขืนเป็นก็แย่นะสิ”
อันนี้เป็นคนละประเด็นกัน ถ้าพ่อบ้านหรือหัวหน้าครอบครัวเป็นเช่นนั้น ภรรยาหรือแม่บ้านก็จะต้องรักษาการแทนไปก่อน แล้วพยายามช่วยเขาให้หายจากการเป็นทาสของสิ่งเสพติดอบายมุข ความจริงถ้าเขามาพบกับพระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อพึ่งในพระองค์และรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตเสียใหม่ เขาก็จะเลิกจากสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตามในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้กล่าวไว้ว่า…..
“เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น” นี่เป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิตครอบครัวที่พระเจ้าได้วางไว้ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าต้องยอมฟังแต่บอกว่าควรยอมฟัง นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจุกจิก ปลีกย่อย ในชีวิตประจำวันทุกอย่างต้องถามความเห็นชอบจากสามีก่อน แต่หมายถึงการให้สามี หรือผู้นำครอบครัว พิจารณา ตัดสินในเรื่องหลักๆที่สำคัญ แต่ถึงกระนั้นพระคัมภีร์ก็ได้บอกไว้อย่างสมดุลด้วยว่า ในครอบครัวสามีภรรยาควรจะฟังซึ่งกันและกัน และปรึกษาหารือกันด้วย เมื่อสามีซึ่งเป็นพ่อบ้านได้รับเกียรติและความเคารพนับถือจากคนในบ้าน เขาก็ย่อมมีสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบในบ้านที่เป็นอาณาจักรของเขา ทำให้เขามีกำลังใจ ความกระตือรือร้นที่จะดูแลครอบครัวให้เป็นสุขต่อไป
นอกจากนี้ บ้านยังเป็นสวรรค์ของลูกๆด้วย เราจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านของเราเป็นสวรรค์ เป็นที่น่าอยู่ของลูก ลูกอยู่อย่างมีความสุข พ่อแม่จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ลูกๆรักบ้าน บางครั้งทัศนะคติระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กวัยรุ่นก็ไม่เหมือนกัน เช่นเรื่องการแต่งกาย การฟังเพลง พ่อแม่ควรจะให้อิสระพอสมควร ไม่ตึงเกินไป ถ้าพิจารณาเห็นว่ามันไม่เกินเลย ไม่เป็นพิษเป็นภัยก็น่าจะปล่อยเขาบ้าง เพื่อที่เขาจะใช้ชีวิตในบ้านอย่างมีความสุขตามวัยของเขา บางครั้งผู้ใหญ่ก็ต้องเสียสละให้ลูก ไม่ทำให้ลูกรู้สึกถูกกดดัน จนเขาคิดว่านี่เป็นบ้านของพ่อแม่ไม่ใช่บ้านของเขา รอให้โตก่อนเถอะฉันจะได้ทำอะไรตามใจชอบ หรืออยากจะออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นถ้าบ้านมีแต่เสียงโวยวาย ด่าทอกัน ดังนั้น พ่อแม่ควรจะมีจิตวิทยากับลูก ที่สำคัญควรจะแสดงความรัก ความสนใจความห่วงใย ลูกอย่างจริงใจและแสดงออกให้เขารู้ว่าอยากจะเห็นเขามีความสุข ปล่อยเขา ให้เขาทำสิ่งที่เขาชอบบ้าง เพราะอยู่ที่ไหนก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เหมือนบ้านของเรา แต่นี่ก็ไม่ได้ความว่าจะละเลยเรื่องระเบียบวินัย ตามใจทำอะไรก็ได้จนทำให้เกิดเรื่องเสียหายแก่ตนเองและครอบครัว
ฉะนั้น การที่จะปกครองลูกให้อยู่ในกรอบพร้อมทั้งให้ลูกมีความสุขด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ไม่เกินกำลังถ้าเราจะพยายามทำ ขอพระเจ้าทรงโปรดประทานสติปัญญาและเสริมกำลังแก่ท่านในเรื่องนี้
ข้อคิดจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า “ ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืด นอนดึก กระหืดกระหอบกินอาหาร เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักพระองค์ ให้หลับสบาย”