เราควรจะปลูกฝังบุคลิกภาพที่ดีและถูกต้องให้แก่บุตรหลานของเรา ซึ่งจะต้องเติบโตขึ้นเป็นคนของสังคม เป็นความหวังของชาติในอนาคต เราจะต้องขยายความคิดและความตั้งใจของเราให้กว้างขึ้นจากการที่เราเพียงแต่คิดว่าเราจะเลี้ยงเขาให้เป็นเด็กดี มีงานทำ เลี้ยงชีพตนเองได้และมีครอบครัวเท่านั้นก็พอ เราจะต้องตั้งใจเพิ่มขึ้นอีกด้วยว่า เราจะเลี้ยงเขาให้เป็นความหวังของสังคมและเป็นอนาคตของชาติด้วย เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า
ในสังคมของเรายังต้องการทรัพยากรบุคคลอีกมากที่จะมาช่วยกันสร้างสรรค์ความเจริญในด้านต่างๆ อนาคตของชาติจะเป็นอย่างไรถ้าขาดคนที่มีคุณภาพ เรามักจะคิดถึงคนที่เฉลียวฉลาด ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างเสียสละอุทิศตนเองเพื่อสังคม นี่เป็นเรื่องส่วนใหญ่ที่เราคิดถึงกันถ้าเราอยากเห็นภาพเช่นนั้น เราก็ควรจะปลูกฝังสอนลูกหลานของเราในด้านนั้นตามภาพที่เราอยากจะเห็นในอนาคต ให้เขาเป็นคนดีมีคุณธรรมและความรัก
ประการแรกที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ ความรัก ความรักไม่ได้หมายถึงการให้หรือการรับแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการแบ่งปันกันด้วย ทุกชีวิตต้องการความรักไม่ว่าจะเป็นที่รักหรือรักคนอื่น ความรักทำให้บุตรหลานของเรามีชีวิตชีวา มีพลังที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และสังคมของเราก็จะเจริญงอกงามด้วยทรัพยากรบุคคลจะมีประสิทธิภาพไม่ได้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ฟูมฟักเขาด้วยความรักหรือพวกเขาไม่ได้เติบโตขึ้นภายใต้บรรยากาศแห่งความรัก แท้จริงแล้วแหล่งแห่งความรักคือพระเจ้า เราสามารถที่จะรับเอาความรักแท้จากพระองค์ได้ ความรักเป็นความสัมพันธ์ เป็นสื่อสัมพันธ์ที่มอบให้แก่กันและกันทางจิตใจ ความรู้สึกและการแสดงออกที่ไม่สามารถจะทดแทนกันได้ด้วยสิ่งของหรือเกมส์คอมพิวเตอร์หรือมือถือราคาแพงๆได้ ความแห้งแล้งน้ำใจ การทดแทนความรักด้วยวัตถุสิ่งของในเหล่านี้ อาจจะทำให้บุตรหลานเติบโตขึ้นมาแบบที่ไม่รู้จักว่าความรักคืออะไร กลายเป็นผู้ใหญ่ที่รักใครไม่เป็น แล้วสังคมของเราจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด เราอาจจะเห็นมนุษย์คอมพิวเตอร์เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดก็ได้ การตัดสินใจ ตัดสินปัญหาก็คงจะอยู่ในลักษณะที่รวดเร็ว รุนแรงและเร่งด่วน ความเมตตาและความออมชอมคงจะหาพบได้ยาก ฉะนั้นจงสละเวลาให้กับบุตรหลานบ้างในวันนี้ แสดงความรักต่อพวกเขาทั้งคำพูดและการกระทำ ก็เท่ากับช่วยอนาคตของพวกเขาและช่วยให้สังคมมีอนาคตที่สดใส การให้เวลากับลูกอย่าลืมว่าคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ ถ้ามีได้ทั้งสองอย่างก็จะยิ่งดี เวลาที่เรามีอยู่อันน้อยนิดในปัจจุบัน เราควรจะให้แก่บุตรหลานบ้างด้วยการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อชีวิตของพวกเขา มันจะประทับใจยิ่งกว่าอยู่ด้วยกันยาวนานเป็นวันๆ แต่เต็มไปด้วยการบ่นต่อว่า จับผิดดุด่าพวกเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นลูกหลานก็ไม่อยากใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่
ในปัจจุบันสังคมของเราเต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัว ขาดความรัก ความสามัคคี มีการอิจฉาริษยากัน ถ้าเราไม่อยากให้เป็นเช่นนี้มากขึ้นในอนาคต แต่อยากให้มันลดน้อยลงแล้วละก็ เราก็ควรจะปลูกฝังคุณธรรมให้แก่บุตรหลาน ให้เขามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจที่ดีต่อกัน ความรักในแบบที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ เป็นความรักที่ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาบ ไม่คิดเห็นแก่ตนฝ่ายเดียว แน่นอนสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้างและความสามารถของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างไม่เหมือนหันซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ความขัดแย้งและอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นผลมาจากความบาปของมนุษย์
ในชีวิตจริงในสังคมเราจะพบว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันหมด ทุกอย่างย่อมมีความแตกต่างให้เราได้เปรียบเทียบอยู่เสมอ และความขัดแย้งมักจะเกิดขึ้นได้ง่าย อาจจะก่อให้เกิดความริษยาชิงชัง และความขุ่นข้องหมองใจ บุตรหลานในครอบครัวถ้าไม่ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ก็อาจจะเกิดการอิจฉาริษยาในหมู่พี่น้องหรือบุคคลอื่นเช่นกับเพื่อนๆ ฉะนั้นเราจะต้องสอนบุตรหลานให้เข้าใจว่าทุกคนมีเอกลักษณ์ ความสามารถเฉพาะตัว มีสิ่งที่แตกต่างกันได้ ไม่ต้องน้อยใจ รู้สึกเก็บกด มีปมด้อยหรือมองโลกในแง่ร้าย
อีกประการหนึ่งที่จะกล่าวถึงด้วยก็คือ ความสัตย์ซื่อ พ่อแม่อยากจะเห็นลูกมีความจริงใจ พูดความจริง บอกความจริง สังคมต้องการคนที่ซื่อสัตย์ มือสะอาด เราต้องช่วยกันปลูกฝัง ความซื่อสัตย์ในชีวิตของบุตรหลาน ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆ บางที่เราอาจจะมองข้ามไปหรือถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นเรื่องการพูดปด
บุตรหลานของท่านนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบคำถามที่จ้องจับผิดเขา บางครั้งคำถามที่บังคับให้เขาต้องเลือกระหว่างการพูดโกหกกับการพูดความจริง บางทีหรือบ่อยครั้งที่พ่อแม่ก็หัดให้ลูกโกหกโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ตั้งใจ เมื่อโตขึ้นพ่อแม่ก็เปิดโอกาสให้ลูกๆหลอกอีก เพราะเราไม่ยอมรับฟังความจริงจากลูก จึงทำให้เด็กโกหกเพื่อเอาตัวรอดหรือเพื่ออยากเอาชนะ
สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะทำก็คือ ฝึกสอนและปลูกฝังลูก ให้สัตย์ซื่อตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างไม่โกหกลูก สัตย์ซื่อกับลูกด้วยเช่นกัน เมื่อเขาโตขึ้น ให้เขามีความมั่นใจ ให้เขารู้ว่าเขาเป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ ควรจะบอกลูกว่า พ่อแม่เชื่อใจเขาว่าเขาจะไม่โกหก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกจะต้องหลอกพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เองก็พร้อมและใจกว้างที่จะเชื่อและฟังอย่างมีเหตุผลอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะไปทำอะไรมาก็ขอให้พูดความจริงกับพ่อแม่
เมื่อกล่าวถึงเรื่องความมั่นใจและความเชื่อมั่น ก็อยากจะฝากข้อคิดบางประการว่า การที่บุตรจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากน้อยแค่ไหนก็มาจากผู้ใหญ่โดยตรงทีเดียว การที่เด็กจะรู้ว่าดี ไม่ดี เก่ง ไม่เก่ง สวยหรือไม่สวย ก็มาจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่ที่ละเล็กทีละน้อย และการยอมรับของเราที่มีต่อเขา แล้วกลายเป็นความคิดรวบยอดของตนเองถ้ามันเป็นไปในทางบวกก็จะเป็นที่ชื่นชม เกิดความรู้สึกภูมิใจ ความเชื่อมั่นและการแสดงออก แต่ถ้าพ่อแม่ดุด่าว่ากล่าวตำหนิบ่อยๆ ความเชื่อมั่นในตัวลูกก็จะลดน้อยลง รู้สึกขลาดกลัว มีความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ไม่ชอบตัดสินใจอะไร อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย แล้วทำอะไรก็จะไม่เกิดผลดี
อย่าลืมว่า เด็กมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาถูกวิจารณ์บ่อยๆก็จะขาดความเชื่อมั่น ดังนั้นถ้าจะฝึกเด็กให้มีความเชื่อมั่น พ่อแม่ต้องหยุดวิพากษ์วิจารณ์การกระทำต่างๆของพวกเขา ค่อยๆตักเตือนแนะนำและสอนพวกเขาดีกว่า ให้โอกาสพวกเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและอย่าเปรียบเทียบบุตรหลานของตนกับบุตรหลานของคนอื่น เพื่อจะไม่ทำลายความเชื่อมั่นของเขา
ข้อคิดจากพระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า “ไม้เรียวและคำตักเตือนให้เกิดปัญญา แต่ถ้าปล่อยเด็กไว้แต่ลำพัง จะนำความอับอายมาสู่มารดาของตน”