จากครั้งที่แล้ว ได้เสนอไป 3 ระยะ ในระยะที่3 ซึ่งเป็นระยะที่ครอบครัวมีลูกเล็กทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คู่สมรส สามี-ภรรยามีบทบาทความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในฐานะเป็นพ่อแม่ เนื่องจากมีสมาชิกใหม่คือ ลูกเกิดขึ้นในครอบครัว ความสัมพันธ์และเวลาที่ให้ต่อกันระหว่างสามีและภรรยาจะลดลง เพราะต่างทุ่มเทความรักและเวลาให้กับลูก วิถีชีวิตประจำวันก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะมีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบมากขึ้นในการเลี้ยงดูลูก
ระยะที่ 4 คือระยะที่ลูกเป็นวัยรุ่นนั่นเอง ลูกๆมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม ครอบครัวเองจะต้องมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนกฎระเบียบ แบบแผน ค่านิยมและความคาดหวังให้เหมาะสม ต้องมีการประนีประนอมกับลูกที่เป็นวัยรุ่นในเรื่องที่ขัดแย้งกันให้ได้ มิฉะนั้นจะเกิดความตึงเครียดภายในครอบครัวซึ่งจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาสร้างบุคลิกภาพของลูก ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพจิตที่ดีของวัยรุ่น
เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น ความผูกพันที่เคยแน่นแฟ้นกับพ่อแม่ก็จะลดลงลูกๆเริ่มห่างจากครอบครัวและไปสร้างความผูกพันใหม่กับผู้อื่น เช่น เพื่อนๆและครู เป็นต้น การสร้างความผูกพันใหม่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นด้วย เพราะจะทำให้วัยรุ่นมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น มีประสบการณ์ในการอยู่ร่วมกับคนอื่น ที่สำคัญก็คือ จะมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวมากเกินไป
เด็กวัยรุ่นมักมีอารมณ์และความรู้สึกแปรปรวนได้ง่าย จากการสำรวจของนักวิชาการ พบว่าเด็กจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้สึกซึมเศร้า รู้สึกว่าไม่มีใครรักและเคยคิดฆ่าตัวตาย ฉะนั้นความแปรปรวนทางอารมณ์ดังกล่าวประกอบกับความตึงเครียดหลายอย่างจึงทำให้วัยรุ่นมีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์เพิ่มขึ้นกว่าในวัยเด็ก อย่างไรก็ตามวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็สามารถที่จะพัฒนาไปสู่วัยผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
สติปัญญาของวัยรุ่นจะพัฒนาขึ้นมากกว่าวัยเด็ก ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และหาเหตุผลจะมีมากขึ้น เป็นคนช่างคิดช่างสงสัยในกฎระเบียบ บรรทัดฐานและค่านิยมของครอบครัว โรงเรียน และสังคม บวกกับความรู้สึกที่รุนแรงในวัยนี้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยได้ ฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นกับผู้ใหญ่โดยเฉพาะพ่อแม่จะมีความตึงเครียดสูง บางครั้งวัยรุ่นจะแสดงพฤติกรรมแบบต่อต้านไม่เชื่อฟัง ดูถูกความคิดเห็นของพ่อแม่และไม่ต้องการให้พ่อแม่เข้ายุ่งวุ่นวายในเรื่องของตน ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนไว้ว่า“ ฝ่ายบุตรจงให้เกียรติแก่บิดามารดา”แต่บิดาก็อย่ายั่วโทสะบุตรด้วย บางครั้งวัยรุ่นทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆที่ต้องการให้พ่อแม่สนใจและเอาใจใส่ด้วยเหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวัน จนทำให้พ่อแม่เกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อลูกอย่างไรดี
อย่างไรก็ตาม เขาได้มีการวิจัยพบว่าวัยรุ่นส่วนยังคงยึดถือบรรทัดฐานและค่านิยมของพ่อแม่ ปฏิบัติตามกฎระเบียบของครอบครัวและมีความสัมพันธ์กับพ่อแม่ในเกณฑ์ดี ใช้ได้
ความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ขณะที่ลูกกำลังเข้าสู่วัยรุ่น พ่อแม่เองก็กำลังเข้าสู่ระยะวิกฤตของชีวิต ที่เรียกว่า วิกฤตการชีวิตวัยกลางคน ระยะจำเป็นที่จะต้องมีการช่วยเหลือครอบครัวในการปรับตัว ที่สำคัญคือ ช่วยให้พ่อแม่ควบคุมพฤติกรรมของลูกให้อยู่ในขอบเขต มีการอบรมวินัยอย่างสมควร ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ให้โอกาสลูกพัฒนาความเป็นตัวเองตัวเองบ้าง แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพ่อแม่ลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและมีเวลาให้กันอย่างเพียงพอ การใช้ชีวิตร่วมกันจะทำให้แต่ละคนรู้จักกันมากขึ้น สามารถแบ่งปันความรู้สึกนึกคิด ประสบการณ์ ความใฝ่ฝันที่ตนมีอยู่ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นในครอบครัว ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือ ในขณะที่ลูกกำลังต้องการพ่อแม่ แต่พ่อแม่กลับไม่มีเวลาให้ลูก เพราะกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังห่วงเรื่องทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเช่นกัน ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ความขัดแย้งในความต้องการของคนสองรุ่นจะเกิดขึ้นได้เสมอ ด้วยเหตุนี้พ่อแม่และลูกๆต้องรับรู้ถึงผลกระทบดังกล่าว เรียนรู้จักที่จะปรับตัวและสามารถบริหารเวลาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้พ่อแม่มีความสัมพันธ์กับลูกที่อยู่ในวัยรุ่น
ระยะที่ 5 เป็นระยะที่ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่แยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง เพื่อทำงาน หรือแยกออกไปตั้งครอบครัวใหม่ของตนเอง นี่เป็นระยะที่เพิ่งเกิดขึ้นในวงจรชีวิตของสังคมยุคใหม่ ซึ่งในอดีตครอบครัวไม่ต้องเผชิญกับสภาพเช่นนี้ เพราะพ่อแม่มักจะมีลูกหลายคนและลูกๆจะอยู่กับครอบครัวเดิมแม้จะแต่งงานไปแล้วก็ตาม แต่ในสังคมยุคใหม่ครอบครัวส่วนใหญ่มีลูกน้อยและลูกมักจะแยกครัวเรือนออกไปเมื่อแต่งงาน ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า “ เพราะเหตุฉะนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยความสัมพันธ์กับบิดามารดาครอบครัวเดิมของตนอย่างสิ้นเชิง เพราะพระเจ้าตรัสสั่งให้เราให้เกียรติแก่บิดามารดาด้วย เขาทั้งสองซึ่งก็คือลูกและคู่สมรสของเขาจะไปเริ่มต้นครอบครัว มีบทบาทและความรับผิดชอบใหม่ จึงทำให้ลำดับความสัมพันธ์เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ก็มีส่วนทำให้พ่อแม่มีอายุยืนยาวกว่าแต่ก่อน ฉะนั้นระยะนี้จึงกลายเป็นระยะที่ยาวนานยิ่งกว่าระยะอื่นๆ ………
ในระยะนี้เมื่อลูกจากไปก็อาจจะทำให้พ่อแม่รู้สึกว้าเหว่และถูกทอดทิ้ง หลายคนพยายามยึดลูกเอาไว้ด้วยวิธีต่างๆ แม่ซึ่งมีความใกล้ชิดลูกมากกว่าพ่อ ก็อาจจะเกิดปัญหาทางจิตใจเช่น ซึมเศร้าหรือเจ็บป่วยทางกายโดยหาสาเหตุไมได้ เมื่อลูกเห็นพ่อแม่มีปัญหา ก็ไม่กล้าแยกจากครอบครัวไป เช่น อาจจะหยุดโครงการศึกษาต่อต่างประเทศหรือหยุดแผนการแต่งงานไว้ก่อน จนกว่าพ่อแม่จะมีอาการดีขึ้น
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อลูกแยกออกไปแล้ว สามีภรรยาก็ต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง บางคู่อาจจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องมาอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ความขัดแย้งที่เคยถูกซ่อนไว้หรือรอยร้าวที่ลูกเคยช่วยประสานไว้อาจจะมาถึงขั้นแตกหัก ซึ่งทำให้มีการหย่าร้างเกิดขึ้นบ่อยในระยะนี้ ผู้ชายเมื่อหย่าร้างไปแล้วก็อาจจะแต่งงานใหม่เพราะต้องการคนดูแล ส่วนผู้หญิงมักจะไม่ค่อยแต่งงานใหม่ เพราะไม่ต้องการมีภาระเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต
ในระยะที่5 นี้เป็นระยะที่น่าสนใจทีเดียว เพราะชายและหญิงเข้าสู่ระยะนี้ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน เช่นผู้หญิงที่เคยแต่ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกอย่างเดียวมาตลอด อาจเกิดความรู้สึกตนเองด้อยค่า เพราะไม่มีความสำเร็จทางการงานที่น่าภาคภูมิใจเหมือนผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้าน แต่ผู้หญิงหลายคนอาจจะภูมิใจที่ตนเลี้ยงลูกจนเติบโตเป็นฝังเป็นฝาไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะนี้ด้วยความสุข เพราะรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ตนจะได้พักผ่อนและทำสิ่งที่ตนอยากทำมานาน โดยที่ไม่ต้องมีภาระในการเลี้ยงลูกอีกต่อไป
สำหรับผู้ชายในวัยนี้ อาจจะรู้สึกเสียดายเวลาในอดีตที่ตนไม่ได้ใกล้ชิดครองครัวมากเท่าที่ควร เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับอาชีพการงาน แม้จะมีเวลามากขึ้นในระยะนี้เนื่องจากอาชีพมีความมั่นคงแล้วก็ตาม แต่ลูกๆก็ได้เติบโตออกจากบ้านแล้ว ไม่มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเมื่อตอนที่ลูกยังเป็นเด็ก ความสัมพันธ์กับภรรยาที่เคยห่างเหินมาก่อนเมื่อมาอยู่กันตามลำพังอีกครั้งจึงรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า ผู้ชายหลายคนเริ่มแสวงหาการดูแลเอาใจใส่จากคนภายนอก เช่นไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมี่มีอายุน้อยกว่าภรรยาของตน เป็นต้น ฉะนั้นจึงเป็นระยะที่อันตราย ต้องระมัดระวังและประคับประคองครอบครัวให้ดี
นอกจากนี้ ในช่วงระยะที่ 5 นี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นภาระเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง นั่นก็คือความเจ็บป่วยและเสียชีวิตของเครือญาติพี่น้องที่สูงอายุ เมื่อหยุดจากการเลี้ยงดูลูกๆของตนเอง สามีภรรยาก็อาจจะต้องหันมาคอยดูแลพ่อแม่ที่กำลังเข้าสู่วัยชราและต้องการดูแลเป็นพิเศษ ในระยะนี้อาจจะมีความเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งก็แพงมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเครียดหลายอย่าง แต่ในอีกด้านหนึ่งระยะนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นเพราะภาระในการเลี้ยงดูลูกหมดไป การเงินเริ่มคล่องตัวเนื่องจากลูกๆพึ่งตนเองได้แล้ว มีเวลาว่างมากขึ้น แต่ละคนมีโอกาสที่จะไปแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำในสิ่งที่ตนชอบ เช่นไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆเป็นต้น ที่สำคัญคือ ระยะนี้เป็นโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคู่สมรสได้ดีขึ้น สร้างความรู้สึกเป็นเพื่อนเพื่อที่จะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในวัยชราที่จะมาถึงในระยะต่อไป
ข้อพระวจนะตอนหนึ่งจากหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า “ จงให้บิดามารดาของเจ้ายินดี จงให้ผู้ที่คลอดเจ้าเปรมปรีดิ์”