พระคัมภีร์ กล่าวว่า “เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” (ปฐก. 2:24) คำว่า “จากไป” หมายถึง การละจากความสัมพันธ์ซึ่งเคยมีมาแต่เดิมกับพ่อแม่ เป็นการละจากพ่อแม่เพื่อไปสร้างความสัมพันธ์ใหม่หรือตั้งครอบครัวใหม่ แต่น่าเสียดายหลายคนไม่ได้ “ละจากความสัมพันธ์” ที่มีกับพ่อแม่ของเขา เมื่อแต่งงานไป แม้ร่างกายจะจากพ่อแม่ไปอยู่กับคู่สมรส แต่จิตใจเขายังยึดติดอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งตามจริงแล้วควรยึดติดกับคู่สมรสต่างหาก ที่สมควรเข้ามาแทน
การละจากไม่ได้หมายความว่า ให้เขาละเลย ทอดทิ้ง หรือ ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของตนอีกต่อไป แต่สามีและภรรยาจำต้องละจากความสัมพันธ์ที่เคยยึดติดอยู่กับพ่อแม่ เป็นการออกจากการครอบครองของพ่อแม่ในครอบครัวเดิม เพื่อมาดูแลและรับผิดชอบต่อคู่สมรสของตน ในครอบครัวใหม่ นั่นเอง
ส่วน “การผูกพัน” ของคู่สมรส เป็นการเชื่อมกัน เกาะกัน ติดกัน ฉะนั้นเมื่อผู้ชายไปผูกพันอยู่กับภรรยา เขาทั้งสองก็จะเป็นเนื้อเดียวกัน คำว่า “เนื้อเดียวกัน” ตามที่พระคัมภีร์ใช้นี้ เป็นคำที่สวยงาม หมายถึง การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตลอดไปของชีวิตสมรสตามพระประสงค์ของพระเจ้า การเป็นเนื้อเดียวกัน หมายถึง การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในลักษณะที่พิเศษ คือ คู่สมรสต่างทุ่มเท ทั้งตัวและหัวใจทั้งหมด เพื่อร่วมชีวิตอย่างสนิทสนม แนบแน่นในทุกด้าน โดย มีความสัมพันธ์ ทั้งทางร่างกาย และจิตใจเป็นสัญลักษณ์
พวกธรรมาจารย์ของชาวยิว สอนว่า ผู้ชายจะไม่มีวันเป็นสุขได้ ถ้าเขายังไม่พบซี่โครงที่ถูกชักออกไปจากสีข้างของเขา และผู้หญิงก็จะไม่เป็นสุขเช่นกัน จนกว่าเธอจะได้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายที่เป็นเจ้าของซี่โครงนั้น สิ่งนี้ชี้ชัดว่า ผู้หญิงไม่ได้เป็นสมบัติของชายแต่เป็นหุ้นส่วน เป็นคู่อุปถัมภ์ในชีวิตทุกด้านของเขา นี่เป็นข้อความที่ได้บรรยายไว้อย่างซาบซึ้ง และแจ่มชัดว่า ผู้หญิงไม่ได้เป็นวัตถุสมบัติของชาย แต่เป็นหุ้นส่วน ร่วมกัน และเป็นคู่อุปถัมภ์ในชีวิตของผู้ชายที่เป็นสามีของเธอในทุกด้าน
คำกล่าวของเซนต์ออกัสติน ผู้มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 5 ยังเหมาะสมกับยุคปัจจุบัน ซึ่งถกเถียงกันถึงสิทธิสตรี เขากล่าว่า “ถ้าพระเจ้าต้องการให้หญิงมีอำนาจเหนือชาย พระองค์คงจะดึงเธอหญิงออกมาจากศีรษะของอาดัม หรือถ้าพระเจ้าต้องการให้หญิงเป็นทาส พระองค์คงชักเอากระดูกจากเท้าของอาดัมมาสร้างเป็นตัวเธอ แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าดึงเธอออกจากสีข้างของผู้ชาย เพื่อเธอจะเป็นคู่เคียงและเท่าเทียมกับเขา“
ในหนังสือ หลังประตูวิวาห์ ดไวท์ สมอล เน้นทัศนะการแต่งงานแบบคริสเตียนว่า “ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งคู่ยอมรับฐานะและเกียรติที่เท่าเทียมกัน หญิงมาจากสีข้างของชาย ดังนั้นเธอต้องอยู่เคียงข้างชาย คอยแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบทุกอย่าง และมีส่วนร่วมในสิทธิพิเศษทุกเรื่องด้วย นี่แหละคือเป้าหมายของการแต่งงาน“
สมอล ยอมรับว่า คู่สมรสจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จุดใหญ่คือการพูดคุยปรึกษาหารือกัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ทั้งคู่ยอมเปิดเผยถึงความคิดส่วนตัว และยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งก้าวเข้าไปในชีวิตตนเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
พระเจ้าได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาล (2.18-24) ซึ่งมีทัศนะสำคัญในเรื่องการแต่งงาน 3 ประการ คือ
- การแต่งงานเป็นการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกัน เมื่อสองคนกลายมาเป็นเนื้อเดียวกัน
ก็ไม่อาจแยกหรือออกจากกันได้ เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหาย ชนิดแก้ไขไม่ได้อีกเลย
- การแต่งงานต้องเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว แม้พระคัมภีร์จะมีตัวอย่าง คนที่มีภรรยาหลายคนในเวลาเดียวกัน แต่นั่นเป็นการกรกะทำของมนุษย์ ความหมายแท้จริงของการเป็นเนื้อเดียวกัน ตามหลักพระคัมภีร์คือ ผู้ชายจะเป็นเนื้อเดียวกับหญิงมากกว่าหนึ่งคนไม่ได้ ( เพราะ พระเจ้าทรงประทานเอวาคนเดียว ให้กับอาดัม)
- การแต่งงานจำเป็นต้องมีความสัตย์ซื่อต่อกัน ในสังคมยุคนี้ รวมทั้งสังคมไทย มักคิดว่าผู้ชายสามารถเป็นเนื้อเดียวกับหญิงกี่คนก็ได้ตามใจชอบ ถือว่า การล่วงประเวณีเป็นเรื่องธรรมดา เป็นการหาประสบการณ์ หรือเป็นกำไรของชีวิต แต่การทำเช่นนี้ อาจนำความวิบัติ เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาสู่ตนเองและครอบครัวได้
จากทัศนะที่สำคัญ 3 ประการ ที่กล่าวมานั้น เราพบว่า พระเจ้าได้ตรัสถึงการแต่งงานว่า เป็นความใกล้ชิดสนิทสนมอันลึกซึ้ง อบอุ่น และยั่งยืนระหว่างสามีกับภรรยา ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างความสุข และความสมบูรณ์ในชีวิต แต่การนอกใจเป็นการหักหลังหรือลอบทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งอย่างรุนแรง ดไวท์ สมอล กล่าวว่า
“ สถาบันการแต่งงานแบบคริสเตียนไม่เคยล้มเหลว แต่ คนในสถาบันต่างหากอาจล้มเหลวได้ ถ้าทั้งคู่ไม่ตระหนักถึงพระประสงค์ของพระเจ้า หรือไม่ยอมทุ่มตัวและหัวใจให้กับชีวิตสมรสอย่างแท้จริง“ ในพระคัมภีร์ปฐมกาลนั้น พระเจ้าได้ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า การแต่งงานนั้น เป็นการอุทิศตัว ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งตลอดชีวิต
แต่ถ้ามาตรฐานต่ำกว่านี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการแต่งงานแบบคริสเตียน และยังเป็นการแต่งงานที่ล้มเหลวได้ง่าย ๆ ด้วย แต่ถ้าหากหญิงชายมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน โดยมอบถวายตัวแด่พระเจ้า และตั้งใจจะเปิดเผยถึงความรู้สึกนึกคิดในชีวิตของกันและกันแล้ว การแต่งงานของเขานั้นย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
มีคำถามชุดแรก ที่อยากจะเชิญชวนให้ผู้อ่านได้คิดพิจารณา ก็คือ
- ลองนึกย้อนไปถึงช่วงก่อนแต่งงาน คุณเคยคาดหวังเรื่องการแต่งงานของคุณไว้อย่างไร
แล้วมันเป็นอย่างที่คุณหวังหรือไม่
- คุณและคู่สมรสคาดหวังในการแต่งงานแตกต่างกันหรือเปล่า คุณค้นพบ ความคาดหวังที่ต่างกันนี้
อย่างไร แล้วได้มีโอกาสพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหรือยัง
- คุณเคยคาดหวังว่า การแต่งงานจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณ อย่างไรบ้าง ลองเขียนออกมาดู
- คุณเคยคิดว่าคู่ชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร
- คุณหวังว่า คู่สมรสของคุณ จะเป็นอะไร…ที่มากไปกว่า ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
คำถามต่อไป ก็คือ
- อะไรเป็นลักษณะเด่นในชีวิตสมรสของคุณ เช่น ความสุภาพอ่อนโยน ความอดทน หรือ ความรัก
แล้วส่วนมาก ใครที่เป็นคนเกื้อกูลให้เกิดลักษณะเด่นนี้ ตัวของคุณหรือคู่สมรส
- คุณรู้สึกว่า อะไรเป็นจุดอ่อนในชีวิตสมรสของคุณ และจุดอ่อนนี้ อยู่ในตัวของคุณหรือเปล่า
- ตอนนี้ คุณได้พยายามทำอะไรบ้าง เพื่อให้ชีวิตสมรสของคุณ มีความสุขและมีความมั่นคง
- คุณได้สังเกตหรือไม่ว่า คู่สมรสของคุณพยายามเสริมสร้างอะไรให้กับชีวิตสมรสบ้าง
- คุณได้ตั้งเป้าหมายอะไรบ้าง สำหรับชีวิตสมรสของคุณปัจจุบันนี้ และคุณจะทำอย่างไร เพื่อให้
บรรลุเป้าหมาย หรือคุณจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพื่อจะให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
วิธีเติมแต่งชีวิตสมรสของคุณให้ดียิ่งขึ้น วิธีแรก ก็คือว่า….
- คุณควรแสดงความสนใจในกิจกรรม หรือ สิ่งที่คู่สมรสของคุณกำลังทำอยู่ให้มากขึ้น โดย การตั้ง
คำถามที่ดี เช่น ที่รัก คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหม หรือ รีดผ้าเหนื่อยไหม เอาน้ำเย็นสักถ้วยไหม?
- คุณควรใช้เวลาคิดถึง ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสของคุณในแง่บวกมากขึ้น และพยายามปรับปรุง
พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพราะการคิดถึงแต่สิ่งลบในความสัมพันธ์ของคู่ครองคุณ ไม่เป็นประโยชน์อะไร
- ถ้าหากคุณ มีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า คุณควรจะใช้เวลาอธิษฐานเผื่อครอบครัวของคุณ และ
อธิษฐานร่วมกับคนในครอบครัวของคุณ โดยเฉพาะกับคู่สมรสและลูกๆของคุณ เพื่อขอให้พระเจ้า
อวยพรและคุ้มครองทุกคนในครอบครัวให้มีความมั่นคงปลอดภัย และประสบความสำเร็จ เป็นต้น
- ถ้าคุณมีความขุ่นเคืองใจใด ๆ กับคนในครอบครัว โดยเฉพาะ กับคู่สมรส หรือคนอื่นๆในครอบครัว
คุณควรจะยกโทษให้กันและกัน พร้อมทั้งให้อภัยแก่กันและกัน ทันที
เพราะว่า “ พลังที่ยิ่งใหญ่ในโลก ก็คือ พลังแห่งการยกโทษและการให้อภัยกัน ”
ลองคิดพิจารณา ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นคำถาม และข้อเสนอแนะ ข้างต้น
เมื่อลองทำดู อาจจะพบว่า คู่สมรสหรือครอบครัวของคุณ มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น บรรยากาศภายในบ้าน อาจกลายเป็นเสมือน สวรรค์ในบ้าน ก็เป็นได้
“พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า” (เยเรมีย์ 29:11)
พระเจ้าทรงมีแผนการเฉพาะเจาะจงและมีวิถีชีวิตสำหรับคู่สมรสและครอบครัวของคุณในโลกนี้ เพื่อที่คุณจะดำเนินชีวิตไปตาม แผนการของพระองค์