เรื่อง แนวทางการสั่งสอนบุตร ซึ่งเราจะพูดถึงเด็กในวัยเริ่มเข้าเรียน นั่นคือ เด็กอายุระหว่าง 6-12 ขวบ นะค่ะ เด็กในวัยระยะนี้จะค่อยๆเจริญเติบโตอย่างช้าๆ จนเมื่อมาถึงวัย 10-12 ปี เด็กก็จะเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง การเจริญขึ้นทางด้านความสามารถ เด็กในวัยนี้จะรู้จักใช้เหตุผลต่างๆอธิบายความคิดเห็นของตนได้แล้ว ในด้านภาษา เด็กเริ่มจะรู้จักภาษาได้กว้างขึ้นและเรียนรู้จักภาษาพูดมากขึ้น
เด็กในวัยนี้ มีปัญหา 2 อย่างเกี่ยวกับการปรับตัวที่จะต้องเจออย่างแน่นอน เมื่อเริ่มไปโรงเรียน ซึ่งเป็นปัญหาที่อาจกระทบกระเทือน ต่อจิตใจและอารมณ์ของเด็กได้ ถ้าพ่อแม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไม่ถูกต้อง ปัญหาทั้ง 2 อย่างนี้ก็คือ (1) การปรับตัวของเด็กในระยะแรกๆของการเข้าโรงเรียน (2) การปรับตัวของเด็กให้เข้ากับพวกเพื่อนๆและครูบาอาจารย์ ปัญหาทั้ง 2 อย่างนี้ถ้าพ่อแม่ไม่เอาใจใส่หรือแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว ก็จะส่งผลเสียต่อจิตใจและชีวิตของเด็กเป็นอย่างมาก
ประการแรก ปัญหาที่เด็กในวัยนี้จะต้องพบก็คือ การปรับตัวของเด็กในการเข้าโรงเรียนในระยะแรก
การปรับตัวของเด็กในระยะแรกที่เข้าโรงเรียนใหม่ๆ นั้นเป็นระยะที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติแล้ว เด็กอายุ 1-5 ขวบ มักจะเคยชินอยู่กับบรรยากาศภายในบ้าน ซึ่งได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ พวกพี่ๆ และญาติๆทั้งหลาย เด็กก็ย่อมจะมีความรู้สึกอบอุ่นมาก จนไม่อยากจะออกไปไหน ไม่อยากจากอกแม่ไปไกล การที่เราจะใช้อำนาจพ่อแม่บังคับเด็กก็จะสร้างภาพความรู้สึกที่ไม่ดีให้เกิดกับชีวิตจิตใจของเด็กได้ ในระยะที่เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป มักจะเป็นเด็กที่รู้จักฟังเหตุผลและมีความเข้าใจได้แล้ว ในเวลาเช่นนี้พ่อแม่ควรจะสอนให้เด็กรู้จักคุณค่าของการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งอาจใช้ข้อความจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ดังต่อไปนี้ “บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าเจ้ารับคำของเรา และสะสมคำบัญชาของเราไว้ กระทำหูของเจ้าให้ผึ่ง เพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ ถ้าเจ้าจะแสวงหาปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ นั่นแหละเจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้าและพบความรู้ของพระเจ้า…..และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่วิญญาณจิตของเจ้า ความเฉลียวฉลาดจะคอยเฝ้าเจ้า และความเข้าใจจะระแวดระวังเจ้าไว้ ช่วยให้เจ้าพ้นจากทางแห่งคนชั่วร้าย จากคนที่พูดตลบตะแลง” (สภษ.2:1-5 , 10-12)
สรุปความก็คือ พระคัมภีร์สอนว่า ความรู้ในพระคำของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ให้ความเจริญและผาสุกแก่ชีวิต ทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมั่นคงและปลอดภัย ช่วยป้องกันไม่ให้ชีวิตของเราถูกล่อลวงหรือถูกต้มตุ๋น ดังนั้น เราจึงควรหาความรู้จากพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในชีวิตให้มากๆและเอาจริงเอาจังเหมือนอย่างคนที่หาเงินทอง
ความรู้ ความเข้าใจ มีส่วนเราในการตัดสินใจและเลือกกระทำในกิจกรรมต่างๆได้อย่างถูกต้อง ยิ่งกว่านั้นอาจใช้มันในการหาทรัพย์ได้ทุกเวลาอีกด้วย พ่อแม่ควรใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อแนะนำสั่งสอนเด็ก ให้เกิดความเข้าใจและรู้ถึงคุณค่าของการเรียนรู้ พ่อแม่จะมีวิธีการใดหรือคำพูดใดๆก็ได้ แต่ขอให้หาโอกาสปลอบใจ และชี้แจงให้เด็กเกิดความเข้าใจที่ดี ซึ่งโดยปกติ ถ้าเราชี้แจงแก่ลูกของเราอย่างถูกต้อง ให้ความเข้าใจแก่เขา ส่วนมากเด็กมักจะสมัครใจอยากจะไปโรงเรียนเอง
ปัญหาประการที่ 2 ของเด็กวัย 6-12 ปี ก็คือ การปรับตัวของเด็กในการเข้ากับพวกเพื่อนๆและครูบาอาจารย์ รวมทั้งยังต้องพบกับกฎวินัยต่างๆของทางโรงเรียนอีกด้วย เพราะเด็กจะรู้สึกลำบากใจ ไม่ชินเกี่ยวกับกฎข้อบังคับต่างๆเหล่านั้น ซึ่งอาจจะทำให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย ในครั้งนี้พ่อแม่ควรจะหาโอกาสสอนและชี้แจงให้ลูกได้เข้าใจถึงเหตุผล และพ่อแม่ก็ควรเข้าใจในความรู้สึกของลูกด้วยโดยอาจพูดสอนลูกว่า “ พ่อแม่รู้ดีว่า ลูกไม่ชินกับกฎต่างๆของทางโรงเรียนเพราะมันทำให้ลูก ไม่ค่อยมีอิสระสำหรับการทำตามใจของตัวเอง ลูกอยากวิ่งเล่นก็ไม่ได้ อยากอมลูกอมก็ไม่ได้ ไม่เหมือนบ้านใช่ไหมลูก ” ซึ่งลูกก็ต้องพยักหน้ารับแน่นอน พ่อแม่ก็ควรชี้แจงกับลูกว่า “ ที่นี้ ลูกลองคิดดูซิว่า ถ้าเด็กทุกคนไม่มีกฎวินัยมาบังคับใช้ในโรงเรียน ใครอยากเรียนก็ไปเรียนใครอยากวิ่งเล่นก็ไปเล่น ใครอยากกินอะไรกินไป ใครอยากหยอกล้อเพื่อนๆก็หยอกล้อไป แล้วครูเขาจะสอนหนังสือได้ไหม ซึ่งแน่นอน แม้เด็กอายุ 6 ขวบเขาก็จะคิดได้และตอบถูกว่า ครูคงสอนหนังสือไม่ได้แน่นอน หรือบางครั้งพ่อแม่ อาจสอนให้ลูกรู้ถึงผลร้ายของการไม่มีกฎระเบียบวินัยของโรงเรียนได้อีกว่า “ ที่โรงเรียน มีเด็กที่โตกว่าลูกไหม ? ซึ่งแน่นอน เด็กทุกคนจะต้องตอบว่า มี เราก็ถามเด็กต่อไปว่า “ เด็กโตเหล่านั้นทุกคนเป็นคนดีใช่ไหมลูก ซึ่งเด็กก็จะตอบว่า ไม่ใช่ มีเด็กบางคนเป็นเด็กเกเร ชอบรังแกเด็กที่เล็กกว่าก็มี ” พ่อแม่ก็จะได้มีโอกาสบอกกับเด็กว่า “ที่นี้ ถ้าสมมุติว่า โรงเรียนไม่มีกฎระเบียบวินัย เด็กโตก็จะรังแกลูก เช่น ไล่เตะลูก เขกหัวลูก ตีลูก เอาเท้าขัดขาลูกให้หกล้ม พอลูกไปฟ้องครู ครูก็บอกว่าโรงเรียนไม่มีกฎ ลงโทษเด็กโตไม่ได้ ลูกจะชอบไหม ” เด็กทุกคนจะต้องร้องตอบว่า ไม่ชอบอย่างแน่นอน เราควรบอกกับเด็กว่า พระคัมภีร์สอนว่า
“ผู้ใดที่รักวินัย ก็รักความรู้ แต่บุคคลที่เกลียดคำตักเตือนก็เป็นคนโฉด” (สภษ.12:1) ถ้าลูกจะเรียนรู้และรักวินัยมันจะช่วยลูกมาก เมื่อลูกเติบโตขึ้น ลูกจะต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย แต่ในการเรียนรู้หรืองานทุกอย่างที่ลูกจะทำนั้นต้องมีวินัยเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น แม้แต่การเล่นกีฬาก็ต้องมีกฎระเบียบ ในพระคัมภีร์ก็สอนว่า “ฝ่ายนักกีฬาทุกคน ก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่ล่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย”(1 คร.9:25) พระคัมภีร์ยกตัวอย่างการแข่งขันกีฬาในสมัยก่อนของชาวกรีก ผู้ที่ชนะจะได้มงกุฎใบไม้เป็นเกียรติยศ แต่เราในฐานะคนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ภูมิใจในวีระบุรุษและวีระสตรีที่ได้เหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก แต่เขาจะมีชื่อเสียงไม่ได้ถ้าเขาไม่มีกฎวินัย โดยพ่อแม่ชี้ให้เด็กเห็นว่า แม้แต่นักกีฬาที่มีชื่อเสียง เขาก็ต้องมีระเบียบวินัยในชีวิตเช่นกัน ดังนั้นถ้าลูกอยากเก่งเหมือนนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก ลูกก็ไม่ต้องกลัวระเบียบวินัย เพราะพระคัมภีร์สอนว่า “นักกีฬาจะไม่ได้สวมพวงมาลัย ถ้าเขาไม่แข่งขันตามกติกา” (2 ทธ.2:5)
ถ้าเราสอนเด็ก โดยอาศัยพระคริสตธรรมคัมภีร์และจิตวิทยาประยุกต์เข้าด้วยกัน เด็กก็จะรู้จักคุณค่าของกฎระเบียบวินัยดีและเต็มใจปฏิบัติตามกฎระเบียบนั้น นอกจากเรื่องกฎระเบียบที่เด็กต้องเจอในโรงเรียนแล้ว เด็กยังต้องเจอกับปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับครูบาอาจารย์ที่สอนเด็กด้วย เช่น เด็กที่เป็นลูกของเราอาจจะมาบอกพ่อแม่ว่า แม่ครับ ครูของหนูน่ากลัวจังเลย ชอบทำหน้าดุๆ คล้ายกับนางยักษ์เลยแม่ พูดก็ไม่เพราะ ชอบหยิกเด็กๆด้วย หนูไม่ชอบคุณครูเลย ถ้าเป็นลูกที่เป็นเด็กผู้หญิง ก็อาจจะมาฟ้องพ่อว่า พ่อขา ครูของหนู ไม่เห็นสวยเหมือนคุณแม่เลย อ้วนเหมือนหมู ชอบทำตาดุๆใส่พวกหนูเรื่อยเลย หนูไม่ชอบครูเลยไม่อยากไปโรงเรียนแล้วล่ะ พ่อย้ายโรงเรียนให้หนูได้ไหม ถ้าท่านเป็นคุณพ่อคุณแม่ ต้องพบกับปัญหาที่เกิดกับลูกแบบนี้แล้ว ท่านจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไง ขอแนะนำว่า อย่ายอมย้ายลูกไปอยู่ที่โรงเรียนอื่น ถ้าเพียงแต่ลูกไม่ชอบครู เพราะมิฉะนั้น เด็กจะขอย้ายไปโรงเรียนอื่นอยู่เรื่อยๆ พ่อแม่ต้องหาโอกาสพูดปลอบใจ ทำความเข้าใจหรือชี้แจงกับลูก เพื่อให้ลูกเปลี่ยนแนวความคิด เกี่ยวกับเรื่องครูของเขาให้ได้ โดยบอกลูกในทำนองนี้ว่า ลูกรู้ใช่ไหมว่า คนเราเลือกเกิดกันไม่ได้ รูปร่างหน้าตาก็แตกต่างกัน ไม่มีใครอยากมีหน้าตาดุร้ายหลอก และไม่มีใครอยากอ้วนเหมือนหมูตอนด้วย ครูทุกคนที่มาอยู่โรงเรียนที่มีอาชีพสอนเด็กๆ ครูทุกคนมักจะรักเด็กๆทั้งนั้น อยากให้เด็กๆมีความรู้นะลูก และครูก็อยากเห็นเด็กเป็นคนดีทุกคน จึงจะเป็นครูได้ เพราะถ้าครูไม่รักเด็ก เขาก็จะเป็นครูไม่ได้
ที่จริงแล้ว ลูกควรจะรักครูนะ การที่ครูบางครั้งทำตาดุๆ ก็เพราะว่า เด็กในห้องเรียนมีเยอะและเด็กบางคนก็ไม่ตั้งใจเรียน ชอบคุยกันเสียงดัง หรือ เอาขนมมากินตอนครูสอนอยู่ในห้องเรียน เด็กเหล่านั้นก็เลยถูกครูดุ ที่ครูต้องดุเพราะครูเขารักเด็ก อยากให้เด็กตั้งใจเรียน เพื่อจะมีความรู้และเป็นคนดีไงละลูก พ่อว่า ถ้าลูกอยู่เรียนหนังสือที่โรงเรียนไปเรื่อยๆ ต่อไปลูกก็จะรู้ได้ว่า ครูนั้นเขารักเด็กๆทุกคน เชื่อพ่อนะลูก เมื่อคุณพ่อคุณแม่พูดทำความเข้าใจกับลูกแล้วลูกก็จะอยากไปโรงเรียนและเกิดความมั่นใจในตัวครูที่สอนพวกเขา
สรุปจากที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า ในระยะเวลาเริ่มแรกที่เด็กต้องเข้าโรงเรียน พ่อแม่ควรจะหาโอกาสและใช้วิธีการพูดเพื่อสอนให้ลูกได้เข้าใจถึงคุณประโยชน์ของการไปโรงเรียน สอนให้เขาเข้าใจถึงกฎ ระเบียบวินัยต่างๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไรขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียน สอนให้เด็กมีภาพที่ดีและมีท่าทีที่ดีเกี่ยวกับครู รวมทั้งควรบอกให้เด็กรู้ถึงความรักของครูที่มีต่อนักเรียนด้วย เพื่อเด็กจะไม่ต้องรู้สึกกลัวครูจนไม่อยากไปโรงเรียน
จากหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า…… จงฝึกสอนเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะไม่หลงไปจากทางนั้น