เราคงไม่อยากเห็นคู่สมรสใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยมีแต่วิชาการหรือหลักการเท่านั้น แต่เราควรประยุกต์หลักการ มาสู่การปฏิบัติจริง เพื่อจะทำให้ครอบครัวของเรามีความสงบสุขและมั่งคงยั่งยืนอย่างแท้จริง
พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้ให้แนวทางในการทำหน้าที่ของภรรยาและสามีไว้ดังนี้ว่า “ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด ภรรยาควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น ฝ่ายสามีจงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เอง เพื่อคริสตจักร เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์” ( เอเฟซัส 5: 22-33)
“ เพื่อพระพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใด ๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรรักภรรยาของตน เหมือนเหมือนกับรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูแลทะนุถนอมเหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์ เพราะเหตุนี้ผู้ชายจึงละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน “
เราจะนำความจริงเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตของตน โดยไม่ต้องห่วงถึงบทบาทของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ให้มีใจจดจ่ออยู่กับบทบาทในชีวิตสมรสของตนเองว่า ได้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์สอนไว้หรือยัง เราส่วนมาก มักยกเอาคำสอนของพระคัมภีร์มาบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติ แต่ไม่ชอบนำมาใช้ปฏิบัติกับตนเอง เช่น ภรรยาบางคนอาจจะโต้ตอบว่า ” ดิฉันยินดีจะเชื่อฟังสามี ถ้าเขารักดิฉันอย่างที่ดิฉันต้องการ ” การตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการบอกว่า ฉันจะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์นั่นเอง
ในพระคัมภีร์กล่าวกับ ภรรยาทำนองว่า ” จงลืมหน้าที่ฝ่ายชายเสีย แล้วหันมาทำหน้าที่ของตนเอง ท่าทีและการกระทำของคุณไม่ควรขึ้นอยู่กับความประพฤติของสามี แต่ควรเป็นผลมาจาก การถวายตัวและการเชื่อฟังคำสอนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตสมรสและเป็นศูนย์กลางของครอบครัว
ผู้ชายบางคน หรือฝ่ายสามีก็เช่นเดียวกัน มักจะตัดคำสอนจากพระคัมภีร์บางตอนและชอบอ้างว่า….
“ ผมเป็นใหญ่ในบ้าน ภรรยาจะต้องเชื่อฟังผม พระคัมภีร์สอนอย่างนั้น เธอไม่ เข้าใจหรือ ”หากเราสังเกตคำสอนจากพระคัมภีร์ให้ดี เราจะพบว่า พระคัมภีร์ไม่ได้เน้นสิทธิ์อำนาจของสามี เหนือภรรยา แต่เน้นที่ความรับผิดชอบของสามี ให้มีความรักแบบเสียสละต่อภรรยา โดยยกตัวอย่างว่า สามีรักร่างกายของตนเองแค่ไหน แล้วรักภรรยาแค่นั้นหรือไม่ พระคริสต์ทรงรักและเสียสละเพื่อประชากรคริสตจักรของพระองค์ฉันใด สามีก็ต้องรักและเสียสละเพื่อภรรยาของตน เหมือนกันฉันนั้น
สามีที่ดีไม่ควรเรียกร้องให้ภรรยาเชื่อฟัง หรือนับถือสิทธิ์อำนาจของตน ไม่ควรพูดกับภรรยาของตนว่า ” ถ้าคุณยอมเชื่อฟังผม แล้วผมจะรักคุณอย่างที่พระคัมภีร์สั่งไว้” แต่ควรจดจ่ออยู่กับบทบาทที่จะให้ความรักแก่ภรรยา ให้เธอมีสิทธิ์เต็มที่ว่า จะตัดสินใจเชื่อฟังหรือไม่ การยอมเชื่อฟังนี้ เป็นหน้าที่ของเธอมิใช่ของคุณ และถ้าหากเธอเลือกที่จะยอมเชื่อฟัง เธอก็จะได้รับการตอบสนองด้วยความรักจากสามีของเธออย่างสุดใจด้วยเธอก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสุขและมั่นคงปลอดภัย เพราะเธอรู้ว่า เธอเป็นสุดที่รักของสามี นั่นเอง
นี่เป็นต้นแบบชีวิตสมรสที่มีความสุขอย่างเต็มบริบูรณ์ จงพยายามทำหน้าที่ของตน และให้อิสระกับอีกฝ่ายหนึ่งในการทำหน้าที่ของเขา แล้วคุณจะสามารถสร้างชีวิตสมรส ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถเปิดใจ และสื่อสารกันได้อย่างตรงไปตรงมาในทุกเรื่อง เมื่อมีการสื่อสารที่ดีต่อกันแล้วปัญหาเรื่องใครเป็นผู้นำก็จะหมดไป ความรักและการเชื่อฟังก็จะเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างกลมเกลียว ผลที่ตามมา ก็คือ บรรยากาศแห่งความรักมีมั่นคงปลอดภัย และการไว้วางใจกันและกันจะเกิดขึ้น และคู่สมรสของคุณ รวมทั้งทุกๆคนในครอบครัวก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อย่างพระเจ้าได้ทรงมุ่งหวังเอาไว้ให้ทุกครอบครัวเป็นไปเช่นนั้น
เพื่อให้สอดคล้องกับคำสอนในพระคัมภีร์ สามีควรแสดงความรักต่อภรรยาและพูดกับภรรยา ด้วยคำพูดเหล่านี้ เช่นว่า
– ที่รัก ในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ เราควรไปพักผ่อนด้วยกันที่ไหนดี ?
– ผมจะคิดถึง ความรู้สึกและความคิดเห็นของเธอเกี่ยวกับการซื้อบ้าน
– ผมจะใช้เวลาพูดคุยกับเธอในสิ่งที่เธอสนใจ และ ขอบอกว่า ผมรักเธอ
ฝ่ายภรรยาอาจจะพูดในทำนองนี้ว่า
– ฉันจะพยายามตอบสนองความต้องการของสามี
– ฉันจะพยายามควบคุมอารมณ์เมื่อเขากลับบ้านดึกโดยไม่บอกล่วงหน้า
– ฉันจะหนุนใจและเสริมสร้างเขาในจุดที่เขาขาดความมั่นใจ
– ฉันจะพยายามตอบสนองความต้องการของสามี
นอกจากนี้แล้ว พระคัมภีร์ยังบอกไว้ชัดเจนว่า สามีต้องเป็นผู้นำในบ้านด้วยความรัก ภรรยาต้องยอมฟังสามีด้วยความรักเช่นกัน นี่เป็นกุญแจสำคัญของชีวิตสมรส แต่ทั้งคู่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เพราะในแต่ละวันมีเรื่องร้อยแปดพันเก้าให้ต้องตัดสินใจ แล้วเราจะทำอย่างไรดี
นาธาน เอคเคอร์แมน ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวได้กล่าวไว้ว่า หลายครอบครัวไม่ได้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของสามีและภรรยาไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้เกิดความสับสนในการทำงาน และการใช้สิทธิอำนาจร่วมกัน ดังนั้น ทั้งคู่จึงแข่งขันกันและต่างก็กลัวว่า ตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทั้งคู่ต่างไม่มั่นใจ แต่แสร้งทำทีว่าเก่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง จึงแย่งกันตัดสินใจ แต่พอเกิดผิดพลาดขึ้นมา ก็โทษอีกฝ่ายหนึ่ง
การประชันแข่งขันกันเป็นตัวบั่นทอนความเห็นอกเห็นใจ การช่วยเหลือสนับสนุน และความพึงพอใจต่อกันจะน้อยลง นอกจากนั้นการสื่อสารยังถูกบิดเบือนไป การร่วมงานกันไม่ค่อยมีประสิทธิ์ภาพ เพิ่มความกินแหนงแคลงใจต่อกัน และคู่สมรสห่างเหินกันทั้งอารมณ์และจิตใจ
เมื่อสามีบากบั่นทำงานตัวเป็นเกลียว เพื่อแสดงว่าตนเองประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาแต่เป็นวีรบุรุษ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะลูกจ้างหรือเป็นถึงเจ้าของบริษัท ยิ่งเขาประสบความสำเร็จมากเท่าใดก็ยิ่งกลัวความล้มเหลวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงแบกความกังวลในที่ทำงานเข้ามาในบ้านด้วย ภาระหนักอึ้งและความเหน็ดเหนื่อยทำให้เขาไม่มีอารมณ์แสดงความรักต่อภรรยาและลูก ภรรยาจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำในครอบครัว
สามีอยากจะได้รับการหนุนใจและกำลังใจจากภรรยา เพื่อต่อสู้กับวันข้างหน้าได้ แต่ภรรยามัวยุ่งกับเรื่องของตัวเอง เขาจึงรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวและไม่พอใจที่ภรรยาไม่เข้าใจตน ภรรยาก็ตำหนิสามีว่าไม่รับผิดชอบครอบครัว แถมยังเรียกร้องให้สามีสนใจเธอกับลูกบ้าง เมื่อลูกมีปัญหาเธอเกิดความรู้สึกผิดแต่ก็ไม่ยอมรับกลับโยนไปให้พ่อเด็ก ฝ่ายสามีก็มักจะยอมรับผิดเพราะคิดว่าเป็นความผิดของตนจริง ๆ แม้จะรู้สึกสับสนและโมโห แต่เขาก็พยายามปลอบภรรยาเพราะรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของตนและเพื่อทำให้เธอพอใจ
สุดท้ายทั้งคู่เลยเสแสร้งต่อกัน เก็บความรู้สึกระงับยับยั้งมันไว้ในใจ เห็นว่า การแสดงอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องของคนอ่อนแอเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ราวกับว่าอารมณ์เป็นสิ่งเลวร้าย กังวลตลอดเวลาว่าตนจะเผลอไผลแสดงอะไรออกมา เลยพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่อ่อนโยนเสีย หรือถ้าพบเห็นความอ่อนโยนจากอีกฝ่ายหนึ่งก็จะมองข้ามไปเสีย
ดังนั้นทั้งคู่จึงเกิดความตึงเครียด ไม่เป็นธรรมชาติ และไม่มีชีวิตชีวา
ทั้งคู่ต้องแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าและยอมทำตามอย่างสัตย์ซื่อและจริงใจ สามีและภรรยาหลายคู่ตกลงกันว่าจะให้แต่ละฝ่ายตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างเจาะจงไปเลย สามีที่ฉลาด เมื่อเห็นความสามารถและจุดเด่นของภรรยา เขาควรจะมอบอำนาจความรับผิดชอบบางอย่างให้ภรรยา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและเสริมสร้างเขา ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยความเข้มแข็งและสติปัญญาของกันและกัน แต่ถ้าเรื่องที่ทั้งคู่เห็นขัดแย้ง กรณีนี้ควรให้สามีตัดสินใจ นี่ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจของเขาเป็นสิ่งดีที่สุด แต่เพราะพระเจ้ากำหนดให้ชายเป็นฝ่ายรับผิดชอบในผลของการตัดสินใจนั้นไม่ใช่หญิง
พระคัมภีร์ ชี้ถึงทางปฏิบัติและการวางตัวของภรรยาและสามี “ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน เพื่อว่าแม้สามีบางคนจะไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรรยา
ก็อาจจูงใจเขา โดยไม่พูดเลยสักคำเดียว คือ เมื่อเขาได้เห็นการประพฤติที่นอบน้อม และการดีงามของท่านทั้งหลายผู้เป็นภรรยา (1 เปโตร 3 :1-9 )
“การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำ และนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า”
“ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้ายอย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรเขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร“
James Jauncey ผู้เขียนหนังสือชื่อ “สูตรวิเศษสำหรับชีวิตสมรส” ชี้ให้เห็นว่า คู่สมรสที่เป็นคริสเตียนจะได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษในการแก้ปัญหาแต่ละวัน เพราะนอกจากพระคัมภีร์แล้วยังมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วย พระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปรารถนาให้ทั้งคู่มีความสุขสวัสดี ทว่าพระองค์ไม่ได้ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยการอัศจรรย์ แต่ทรงนำความคิดทั้งคู่จนกระทั่งมีการตัดสินใจที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยพระองค์
พระเจ้าต้องการให้ทั้งคู่ร่วมแรงร่วมใจกันสานประโยชน์ การที่สามีมีอำนาจเป็นผู้นำ มิได้หมายความว่าเขาผิดพลาดไม่ได้ เนื่องจากทั้งสองได้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน การทรงนำของพระเจ้าก็ต้องมาถึงคนทั้งสองด้วย ฉะนั้นการตัดสินใจที่มีผลกระทบทั้งครอบครัว ต้องรอให้สองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก่อน ยกเว้นกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
บรรดาสตรีผู้ทรงศีลในครั้งโบราณนั้น ผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้า ก็ได้ประดับกายเช่นนั้นและเชื่อฟังสามีตน เช่นนางซาราห์เชื่อฟังอับราฮัม และเรียกท่านว่านาย ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติดี และไม่มีความหวาดกลัวสิ่งใด ท่านก็เป็นบุตรของนาง ท่านทั้งหลายที่เป็นสามีก็เช่นกัน จงอยู่กินกับภรรยาด้วยความเข้าใจในเธอ จงให้เกียรติแก่ภรรยา เพราะเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และเพราะท่านทั้งสองได้รับชีวิตอันเป็นพระคุณเป็นมรดก เพื่อว่าคำอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
เพราะเหตุใดภรรยาจึงได้รับคำแนะนำมากมาย
เหตุผลก็ เพราะคนในสมัยก่อน สามีและภรรยามีฐานะไม่เท่าเทียมกัน ถ้าสามีเป็นคริสเตียนมาก่อน ภรรยาจะตามสามีไปโบสถ์โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าภรรยาเป็นคริสเตียน มาก่อน ก็จะเกิดความตึงเครียดและความยุ่งยากขึ้นในครอบครัว ความไม่เท่าเทียมกันนี้ปรากฏชัดในคำอธิษฐานของผู้ชายชาวยิวประโยคหนึ่งซึ่งพวกเขามักท่องบ่นทุกเช้าคือ
“ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์มิได้ให้ข้าพระองค์เกิดมาเป็นคนต่างชาติ เป็นทาส หรือผู้หญิง” ทัศนคติเกี่ยวกับผู้หญิง ได้ซึมซาบเข้าไปในกฎหมายของชาวยิวด้วย ซึ่งถือว่าผู้หญิงมิใช่บุคคล แต่เป็นเพียงสิ่งของ ไม่มีสิทธิใด ๆ ทางกฎหมาย ผู้หญิงคือสมบัติของสามีและเขาจะทำอย่างไรกับเธอก็ได้ตามใจชอบ
สังคมกรีกในสมัยของพระเยซู หญิงที่มีหน้า มีตา เป็นที่นับถือในสังคม จะเก็บตัวเงียบ ตัดการสังสรรค์ร่วมสมาคมไหน ๆ ไม่ออกไปรับประทานอาหารกับคนอื่น ไม่เดินตามถนนคนเดียว หรือมีบทบาทต่อสาธารณะ แต่ละคนมีที่พักส่วนตัวไม่อนุญาตให้ใครเข้าได้นอกจากสามีคนเดียว ด้วยเหตุนี้สมัยนั้นจึงไม่มีความใกล้ชิดสนิทสมกันในชีวิตสมรสเลย ผู้ชายจะได้สิ่งเหล่านี้จากนอกบ้าน
ในพระคัมภีร์ สาวกคนหนึ่งของพระเยซู ชื่อเปโตร ได้คำนึงถึงสถานะการณ์เหล่านี้ ขณะที่เขาเขียนถึงลักษณะภรรยาที่ดี รวมทั้งกรณีสามียังไม่เป็นคริสเตียน เขาได้ให้คำแนะนำง่าย ๆ เพียงขอให้เป็นภรรยาที่ดีเท่านั้น ทำเพียงแค่นี้ แหละจะเป็นคำพยานเงียบ ๆ ดุจคลื่นใต้น้ำ ซึ่งจะนำสามีมาถึงพระเจ้าได้อย่างดี